ตายอย่างไร้ญาติ


แสงอาทิตย์ในแต่ละช่วงเวลามันดูซับซ้อนย้อนแย้งแยงตาแตกต่างกัน 

ชอบแบบไหนมากกว่าก็น่าจะขึ้นอยู่กับอารมณ์ว่าตอนนั้นเป็นอย่างไร เคยคิดอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริงๆ ผมว่าอารมณ์ก็ไม่น่าส่งผลต่อมุมมองของผมกับแสงสาดส่องจากดวงอาทิตย์สักเท่าไหร่ หรืออาจจะเป็นเพราะผมชินกับมันกระนั้นหรือ ใช่สิ ก็เห็นมาตั้งแต่เด็ก

แสงเช้า ชุ่มชื่นหัวใจ

แสงยามเย็น ก็ชุ่มชื่นหัวใจดีนี่นา

อย่างวันนี้ผมนั่งมองแสงอาทิตย์ยามอัสดงแล้วคิดถึงยายคนนั้น แสงอาทิตย์ที่สัมผัสถึงหัวใจของผมในวันนี้จึงเศร้าสร้อยและตามมาด้วยความชุ่มชื่นอย่างบอกไม่ถูก เห็นไหม มันย้อนแย้งมากเหลือเกิน

.........................

เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นผมยังเป็นอาจารย์หมอสดๆร้อนๆ

ยายปทุมแกเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม โรคมันเข้าไปเบียดท่อไต ทำให้ในระยะท้ายๆนี้ของยายปทุมมันดูโคลงเคลง แกเริ่มเมาของเสียที่ท่วมท้นอยู่ในร่างกายที่ขับถ่ายไปทิ้งโดยไตปกติไม่ได้ 

อาจจะดูร้ายแรง แต่ในความโชคร้ายนั้นก็อาจจะมีความโชคดีอยู่บ้าง อาการเมาน้อยๆของแกนั้น มันทำให้ความเจ็บปวดจากมะเร็งที่ไปกัดกินกระดูกของยายมันทุเลาลงได้  มันน่าจะเหมือนคนเสพกัญชาที่เค้าใช้เพื่อลดความเจ็บปวดแบบนั้นกระมัง พูดไป แต่ไม่เคยเห็นของจริงสักครั้ง

อันที่จริงแกไม่ได้เป็นคนไข้โดยตรงของทีมผมหรอกครับ แต่ที่ผมได้เข้ามาหาแกก็เพราะพี่กุญ หัวหน้าหน่วยงานสิทธิประโยชน์ ขอให้พาเข้ามาดูอาการ ทีมแพทย์ที่ดูแลยายอยู่นั้นแจ้งไปว่า ยายมีปัญหาเรื่องความยากจนและน่าจะกำลังถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต

ในสมัยที่เรายังไม่มีสิทธิการรักษาพยาบาลแบบถ้วนหน้านั้น คนไข้ทุกคนต้องจ่ายเงินค่ารักษา คนที่เบิกได้ก็เบิก คนที่เบิกไม่ได้ก็ต้องจ่าย โรงพยาบาลมีรายได้มาจากการจ่ายของคนที่จ่ายได้ ส่วนคนที่ไม่มีกำลังจ่ายก็ได้อาศัยการจุนเจือที่มาจากรายได้จากการเก็บค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลนั่นเอง

ในตอนนั้นเรามีหน่วยงานชื่อ “สังคมสงเคราะห์” เพื่อทำหน้าที่ในเรื่องแบบนี้ และในช่วงต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ ชื่อของมันได้ถูกเปลี่ยนมาเป็น “สิทธิประโยชน์” ตามการเปลี่ยนแปลงของพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาตินั่นไง มันคือ “สิทธิ์”  โดยชอบธรรมของประชาชน

“ยายไม่มีเงินเลยลูก” นั่นคือคำพูดแรกที่ยายปทุมบอกกับเรา หญิงสูงอายุที่นอนอยู่บนเตียงที่ท้ายวอร์ดเตียงนั้น เธอดูซีดเซียว อุปกรณ์ทางการแพทย์เพียงชิ้นเดียวที่แกใช้อยู่คือท่อต่อสายออกซิเจนมาคาไว้ที่รูจมูก ไม่มีสายน้ำเกลือระเกะระกะ

เตียงท้ายวอร์ดเป็นสถานที่ที่มีความสงบกว่าที่อื่นๆ มันจึงเป็นจุดที่ดีในการพักผ่อนในความคิดของผม 

“ไม่เป็นไรนะยาย เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา” พี่กุญให้กำลังใจ ส่วนผมได้แต่ยืนดู การที่จบมาแล้วเป็นอาจารย์แพทย์ใหม่ๆนั้น เรื่องแบบนี้ผมไม่ถนัดเอาเสียเลย

“ยายแกอยู่ตัวคนเดียว สามีเสียชีวิตไปนานมากแล้ว ลูก ๒ คนไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน ยายบอกว่าติดต่อไม่ได้มานานมากแล้วเช่นเดียวกัน” พี่กุญบอกผมคร่าวๆก่อนที่เราจะเข้าไปพูดคุยกับคนไข้ เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าทำไมผมต้องเป็นฝ่ายยืนดู

“ยายน่าจะใกล้ถึงเวลาทุกทีแล้วใช่ไหม” คราวนี้แกเลือกที่จะถามผม

“ยายครับ ไม่มีใครรู้หรอกนะครับ ว่ามันจะจบเมื่อไหร่ แต่เท่าที่หมอได้ดูอยู่ตอนนี้ ยายน่าจะพออยู่ได้โดยที่ไม่เหนื่อยและไม่เจ็บมากนักใช่ไหม” ผมตอบไม่ตรงคำถาม นั่นเพราะตั้งใจนะครับ

“ยายไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว” หยดน้ำตาร่วงไหล ผมไม่กล้าคาดเดาว่าแกรู้สึกอย่างไร

คิดถึงลูก

คิดถึงสามี

คืดถึงคนที่เคยอยู่ร่วมใช้ชีวิตด้วยกันมา พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติๆ เพื่อนๆ มากมาย

“ยายยังเหลือครับ ยายยังมีร่างกาย ยายยังมีชีวิต มีลมหายใจไงครับ” ผมว่าการพูดในวันนั้นมันเสล่อเอามากๆ

“คุณยายคะ ความยากจนไม่ใช่ข้อจำกัดของการรักษานะคะ ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลย หนูขึ้นมาดูมาคุยกับคุณยายในวันนี้ก็เพื่อต้องการจะได้รับรู้ว่า มีอะไรที่พวกเราจะช่วยยายได้อีกบ้าง” ในช่วงเวลานั้น พี่กุญแกยังสาว เลยเรียกตัวเองว่า “หนู” ได้อย่างไม่เคอะเขิน

“คงมีเพียงอย่างเดียวที่ยายกังวล นั่นคือ เมื่อตายไปแล้วจะไปไหนไม่ถูก ยายกลัวว่าจะไม่มีใครดูแลร่างกายให้ในวาระนั้น ยายไม่เหลือใครแล้วจริงๆ” แกยังคงปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา พี่กุญช่วยซับหยดน้ำข้างแก้มนั้นให้ ส่วนสายตาผมพร่ามัว 

“คุณยายคะ เรื่องนั้นได้โปรดวางใจนะคะ พวกเราจะช่วยจัดการให้อย่างดี” พี่กุญบอกอย่างนั้น พร้อมบีบมือยายปทุมประหนึ่งให้คำมั่นสัญญา

ยายปทุมอยู่กับเราได้เพียงไม่ถึงสัปดาห์ก็จากพวกเราไป

ในวันนั้น พี่พยาบาลหัวหน้าตึกได้นิมนต์พระมาเพื่อสวดมนต์และเทศนาอยู่ข้างเตียงจนวาระสุดท้ายของยายมาถึงอย่างสงบและสมศักดิ์ศรี แกไม่มีญาติ แต่แกมีพวกเรา

ร่างไร้ชีวิตถูกบรรจุลงในโลงศพ ซึ่งทางมูลนิธิของโรงพยาบาลเป็นผู้สนับสนุนเงินเพื่อจัดหามาให้ พิธีศพถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายในวัดที่อยู่หน้าโรงพยาบาล นิมนต์พระมาสวด แล้วเผา

ยายปทุมผู้เดียวดาย เธอตายไปโดยปราศจากการได้รับความรักความอาทรณ์จากญาติที่จนแล้วจนรอด เราก็ไม่รู้เลยว่า พวกเขาอยู่ทึ่ไหน จะรับรู้ข่าวการจากไปนี้หรือไม่

นั่นคือวาระทางโลก วาระทางกาย

แต่ด้วยวาระทางจิตใจ แกไม่ได้จากไปอย่างเดียวดาย แกได้ไหว้พระก่อนสิ้นสติ ร่างของแกถูกจัดการได้อย่างสมเกียรติตามอัตภาพ เถ้าและฝุ่นที่หลงเหลือจากการถูกเผา ทางวัดก็จัดการให้อย่างดี

เป็นอย่างนี้ ผมก็เรียกว่าตายดี

ผมมองออกนอกหน้าต่างของเจ้าหางแดง แสงอาทิตย์ที่สะท้อนมากระทบเครื่องยนต์เจ็ทสาดสีส้มแสด ดูร้อนแรงแต่กลับเย็นตา

ผมคิดถึงการตายของยายปทุม 

ไม่มีใครรู้ ว่าตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านของแกนั้น ยายปทุมแกได้เจอะเจออะไรมามากมายแค่ไหน 

ท้ายที่สุดของชีวิต แกต้องการเพียงโลงศพอันเดียวและเปลวไฟที่จะเผาร่างแกให้มอดไหม้เหลือเพียงเถ้าถ่านและฝุ่นผง 

ร้อนแรงแต่กลับเย็นตา

ธนพันธ์ ชูบุญเย็นตาชาเย็น

๒ ธค ๖๑

คำสำคัญ (Tags): #มะเร็ง#ระยะท้าย
หมายเลขบันทึก: 658783เขียนเมื่อ 17 ธันวาคม 2018 15:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 ธันวาคม 2018 15:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เศร้าแต่อิ่มเอมใจ ทั้งผู้ให้และผู้ได้รับ ขอบคุณครับหมอ

-วันนี้ผมติดตามอ่านบันทึกของอาจารย์หลายบันทึก-เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป-หนีไม่พ้น จะยากดีมีจนก็ต้องไปแบบตัวเปล่า-สาธุ…

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท