บางทีผมก็รู้สึกว่า “ความจนคือความโชคดี”
ไม่รู้ทำไม
แต่เท่าที่รู้ แม่โชคดีที่จน แม่จึงได้คลอดลูกออกมาเอง
จั่วหัวแปลกมากใช่ไหมครับ
“ตอนแม่จะคลอดลูก พ่อไม่ยอมพาแม่ไปโรงพยาบาล ที่นั่นเค้าจะไม่ให้พ่อเข้าไปดูแลแม่ พ่ออยากจะช่วยดูแลแม่ตอนคลอดลูกตั้งแต่แม่เริ่มปวดท้องจนเบ่งคลอดเลย” แม่เล่าให้ฟังอย่างนี้มาตลอด
ในช่วงที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆนั้น พ่อกับแม่ยังไม่เงินมากนัก แม่ต้องหยุดทำงานจากกรุงเทพฯแล้วลงมาอยู่เป็นแม่บ้านให้พ่อเต็มตัว
แม่ไม่ใช่สาวกรุงเทพฯ เธอเป็นเด็กสมุยที่มีฐานะยากจน เรียนจบแค่ชั้น ป.๔ แล้วต้องทำงานหาเลี้ยงชีพมาตั้งแต่เด็กๆ และเมื่อเป็นสาวจึงได้ขึ้นมาทำงานและพักอยู่กับญาติผู้พี่ซึ่งเธอเคารพเสมือนหนึ่งแม่อีกคนอยู่ที่กรุงเทพฯ
พ่อเป็นพนักงานบริษัท ทำงานอยู่ที่บ้านดอน เมื่อแต่งงานแล้ว แม่จึงต้องย้ายกลับลงมา
ในช่วงแรกของชีวิตคู่นั้นคงลำบากพอสมควร พ่อกับแม่อาศัยอยู่บนเรือนของปู่และย่า ที่ทำงานของพ่ออยู่ปากซอย ในสายตาประเมินความยาวของซอยเมื่อครั้งผมยังเป็นเด็กนั้น มันโคตรยาว ถูกใช้ให้เดินออกไปซื้อของทีไรก็ออกอาการหงุดหงิด เพราะซอยบ้านเรานั้นมันลึกมาก แต่จะลึกไปสักเพียงใดกันเล่าในเมื่อผมโตขึ้นมาจริงๆ วัดด้วยสายตามันก็แค่ไม่น่าจะเกินสองร้อยเมตร ยิ่งได้ออกไปเที่ยวหาเพื่อนๆเมื่อไหร่ ระยะทางมันสั้นนิดเดียว (นึกขำ ตอนนั้นถ้าได้เข้าใจทฤษฎีเวลาอย่างที่ฮอว์คิงเขียนไว้ก็น่าจะเดินเข้าออกซอยได้อย่างมีความสุขสินะ)
แม่ท้อง พ่อให้คนที่เป็นพยาบาลผดุงครรภ์ที่บ้านอยู่แถวปากซอยเป็นคนดูแลแม่ แกชื่อ”ป้านัน” (เอ๊ะ หรือว่าป้านันท์วะ เอาเป็น นัน ละกัน สมัยนั้นชื่อนิยมน่าจะเป็น สุนันท์ สุวนันท์ ยุวนันท์ หรือว่านันทาเหรอ แม่บอกว่าจำไม่ได้) พ่อไม่มีเงินมากพอที่จะไปฝากพิเศษกับหมอที่คลินิก แต่ด้วยเงื่อนไขที่ป้านันนั้นแกมาทำคลอดให้ที่บ้านได้ นั่นจึงเป็นเงื่อนไขที่ลงตัว
ในวันนั้นคือวันอาทิตย์แม่บอกว่า แม่เริ่มปวดท้องราวๆเกือบเที่ยง แต่ไม่รู้ว่ามันคืออาการของคนใกล้จะคลอด เพราะแกเองก็ไม่เคยท้องก่อนที่มาเจอกับพ่อ
ถึงเวลาเที่ยง แม่รู้สึกว่าปวดท้องแรงขึ้นและถี่ขึ้น
“ป้าไพ” พี่สาวคนที่สองของพ่อคงรู้ว่าแม่น่าจะใกล้คลอด แกดูร้อนใจ
เวลาบ่ายโมง แม่บอกว่ารู้สึกเหมือนปวดจะเบ่ง พ่อวิ่งออกไปตามป้านันที่ปากซอย
“น้องกิ้ม อย่าเพิ่งเบ่งนะ เจ๊ไพทำคลอดไม่เป็น” ผมพอจะเข้าใจอารมณ์ของป้าในวันนั้นได้ดี แกเป็นครู ไม่ใช่หมอ เสียแต่ว่าในตอนนั้นผมเป็นคนที่กำลังจะโผล่หัวมาเท่านั้นเอง
พ่อและป้านันมาถึงในเวลาไม่นาน แต่มันดูเหมือนชั่วกัลป์สำหรับคนจะเบ่งและคนเฝ้าดูแล แกวางกระเป๋าเครื่องมือ เปิดมันออก แม่บอกว่า เพียงเท่านั้นแม่ก็เบ่งผมออกมาแทบจะในทันที
ผมคลอดบนบ้านของปู่
แม่เล่าว่า พ่อเสียเงินให้ป้านัน ๕๐๐ บาทสำหรับค่ามาช่วยทำคลอด
ในท้องลูกคนที่ ๒ พ่อถูกเรียกตัวให้ไปอยู่ที่สำนักงานสาขาหลังสวนเพื่อช่วยแก้ปัญหาอะไรสักอย่าง ส่วนแม่ก็เริ่มเปิดร้านขายของชำ
แม่เล่าว่าช่วงนั้นบ้านของเราอยู่ติดกับโรงเลื่อย ด้านหลังน่าจะเกือบชิดกับแม่น้ำหลังสวน หน้าบ้านคือศาลจังหวัดหลังสวน (ผมอาจจะเรียกผิดนะครับ)
วันหนึ่งในช่วงที่แม่ท้องแก่ก็มีโทรเลขมาจากสมุย ว่ายายป่วยหนัก คนที่สมุยกำลังจะพายายลงเรือมาขึ้นที่บ้านดอน เค้าบอกว่า “ให้กลับบ้านดอนด่วน”
จะทำยังไง ท้องก็แก่ แม่ก็ป่วย โทรเลขส่งมามากกว่า ๒ ครั้ง โทรศัพท์มาที่บริษัทพ่อก็อีกหลายหน ว่ายายป่วยมาก มารับช่วง (ดูแลต่อ) หน่อย
แล้วพ่อก็พาแม่และผมซึ่งตอนนั้นอายุ ๓ ขวบกับหนึ่งเดือนเศษ ขึ้นรถไฟจากหลังสวนวิ่งลงมาที่สุราษฎร์ธานี
แม่เริ่มปวดท้อง
ด้วยที่เคยคลอด แม่รู้ว่าลูกในท้องกำลังจะคลอด
“สาธุ รถไฟอย่าเพิ่งออกเลย หากจะคลอดเสียตอนนึ้ จะได้ลงจากรถได้” แม่สวดมนต์ทุกครั้งที่รถจอดสนิทในสถานีพร้อมๆกับที่มีอาการปวดท้อง แม่กลัวว่าจะคลอดในรถ
“สาธุ รถไฟวิ่งออกไปเร็วๆ อย่าได้จอดเสียเวลาเลย” แม่ยังคงสวดมนต์ เมื่อรถเริ่มเคลื่อนที่ออกจากสถานี การปวดท้องมันถึ่ขึ้นเรื่อยๆ
“น้องกิ้ม ทำไมหน้าซีดจัง” พ่อถามแม่ในขณะเดินทางบนรถไฟขบวนนั้น
“น้องเพลีย” แม่ตอบออกไป ด้วยเกรงใจว่าพ่อจะกังวล
เมื่อถึงสถานีสุราษฎร์ธานีที่อำเภอพุนพินในช่วงค่ำ พ่อต้องอุ้มผมและพยุงแม่ลงจากรถไฟ
พวกเราทั้งสามคนโดยสารเข้าบ้านดอนซึ่งอยู่ห่างออกไปราวเกือบยี่สิบกิโลเมตรด้วยรถแท็กซี่สมัยนั้น
“ประตูรถล็อคด้วยกลอนนะลูก” แม่ยังคงจำค่ำวันนั้นได้
“มันทรมานแทบขาดใจ”
ในทันทีที่ลูกสะใภ้มาถึงบ้าน ปู่รู้ว่าแม่กำลังจะคลอด ป้าไพต้องวิ่งไปตามผดุงครรภ์อีกคน เพราะป้านันแกย้ายไปอยู่ปราจีนบุรีหลังทำคลอดผมไม่นาน ส่วนปู่กลัวว่าหลานสาวจะตัวเย็น จึงรีบกลับไปที่บ้านซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกัน บ้านหลังที่ผมเคยคลอดนั่นแหละ ปู่เอาผ้านวมมาเสียหลายผืน ทั้งรองให้แม่นอนและเตรียมรับหลาน ส่วนยายนอนอ่อนเพลียและซมจากพิษไข้อยู่ข้างๆ
น้องสาวผมคลอดออกมาเมื่อผ่านเที่ยงคืนไปเพียงเล็กน้อย เธอคลอดบนบ้านซึ่งพ่อเรียกมันว่า “บ้านของพ่อ” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
บ้านหลังนี้พ่อเริ่มสร้างตั้งแต่แม่ยังไม่ท้องน้องคนที่สอง ผมเคยนับ บ้านเรามีเสาทั้งหมด ๙ ต้น พ่อสร้างมาด้วยเงินเพียงน้อยนิด แต่ละต้นใช้เหล็กเส้นเพียง ๓ เส้นเพื่อความประหยัด ค่าจ้างลุงเขยมาช่วยสร้าง ๒,๐๐๐ บาท ค่าหลังคา ๑,๒๐๐ บาท ค่าไม้ ๓,๐๐๐ บาท และค่าอื่นๆ รวมแล้วใช้เงินราว ๑๘,๐๐๐ บาทในการสร้างบ้านของเราหลังนี้
พ่อใช้เวลาในการบริบาลน้องและแม่ แน่นอนว่ารวมยายด้วย เพียงไม่นานยายก็แข็งแรงขึ้นและกลับไปอยู่ที่สมุยได้ พ่อและแม่ก็ช่วยกันกระเตงลูกทั้ง ๒ คนเหมาแท็กซี่กลับไปหลังสวน แม่บอกว่าเป็นรถของเพื่อนพ่อ
ความทรงจำเรื่องน้องเกิดผมไม่มีเหลืออยู่เลย อีกทั้งความทรงจำในบ้านเช่าข้างโรงเลื่อยผมก็ไม่มี
ชีวิตที่ผ่านสายตาและจดจำได้เกิดขึ้นเมื่อผมเริ่มเข้าเรียนในชั้นอนุบาลหนึ่งที่โรงเรียนอนุบาลนายแจ้ง
พ่อย้ายบ้านเช่าออกมาอยู่หลังใหม่ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านหลังแรกราวร้อยกว่าเมตร เหตุที่ต้องย้ายนั้น แม่เคยเล่าไว้ว่า เพื่อนบ้านของเรานั้นใจร้าย
ในวันหนึ่ง ผมได้ไปตีเด็กร่วมรุ่นวัยไข่เท่าปลายนิ้วด้วยกัน เค้าร้องไห้ และแม่ของเขาก็ออกมาด่าผมและแม่เสียงดัง “ไอ้ลูกหมา ไอ้เด็กกินแกลบ” และคงอีกมากมาย ซึ่งแม่บอกว่า เพียงเท่านั้นแม่ก็หูอื้อและน้ำตาร่วงไหล พ่อจึงต้องหาที่อยู่ให้พวกเราใหม่
มันคือบ้านหลังแรกสุดที่อยู่ตรงสามแยกที่เป็นรูปสามง่าม ด้านหน้าบ้านเราคือวัดด่าน ด้านข้างเยื้องไปทางหลังคือโรงเรียนสวนศรี
นี่คือความทรงจำทึ่แม่ไม่ต้องเล่าอีกแล้ว เพราะผมยังคงจำมันได้กระทั่งบันได มุ้ง และทุกสิ่งที่อยู่ในบ้าน และการเรียนในชั้นอนุบาล ๑ กับคุณครูสะอาด ครูประจำชั้นที่ต้องดูแลผม
และเพียงไม่นานแม่ก็ตั้งท้องลูกคนที่สาม
“พี่ศักดิ์ น้องปวดท้อง” ในค่ำคืนนั้นแม่สวมชุดนอนสีแดงออกมาทางโอโรส มีจุดสีขาวขนาดเท่าลูกปัดกระจายทั้งชุด ผมนั่งเล่นอะไรสักอย่างอยู่ที่ใกล้บันได
พ่อพาแม่ออกไป
แม่เล่าว่า แม่เพียงแค่บอกยายว่าจะไปหาซื้อของกินในช่วงค่ำ ไม่กล้าบอกว่าปวดท้องเพราะกลัวยายเป็นห่วง แล้วพ่อก็พาแม่ไปคลินิกในตลาดและแม่ก็คลอดที่นั่นในช่วงดึก
“ไปหาน้องกันนะลูก” พ่อบอกผมในช่วงเช้าของอีกวัน ผมจำได้ว่า พ่อจูงมือผมอยู่ด้านขวาและถือปิ่นโตที่มือซ้าย แต่ผมจำความรู้สึกไม่ได้เลยว่ารู้สึกอย่างไรบ้างกับน้องสาวที่เพิ่งเกิดออกมา
“น้องตัวดำปี๋เลย” แม่ยิ้มให้ผม แม่นอนอยู่บนเตียง มีน้องอยู่ในเต้า
“แม่คลอดลูกง่ายทั้ง ๓ คน” แม่บอกอย่างนั้น ลูกคนโตเลี้ยงยากมาก แม่กลัวผมตายคามือจึงต้องส่งต่อไปให้ยายช่วยเลี้ยงดูอยู่ระยะหนึ่งจนแข็งแรง น้องคนที่สองเลี้ยงกันที่หลังสวน เลี้ยงง่าย แต่เกือบตายด้วยไข้อะไรสักอย่าง จะไปโรงพยาบาลในช่วงดึกก็ไม่ได้เพราะติดด้วยกฏอัยการศึก พ่อเล่าว่า ถ้าน้องตาย พ่อจะพาครอบครัวเข้าป่า ส่วนน้องคนเล็กเลี้ยงง่ายที่สุด แต่มันเริ่มพูดช้ากว่าใคร
.....................
แม่คลอดลูกได้เองทั้งๆที่มีรูปร่างเล็กและผอมบาง
มันไม่เหมือนกับสมัยนี้ที่คนชอบวิ่งเข้าไปหาการผ่าท้องคลอดโดยไม่จำเป็น คนมีเงินมีโอกาสเลือก พวกเค้าไม่เคยทราบเลยว่าการผ่าท้องคลอดนั้นคือความเสี่ยง
ผมปวดใจทุกครั้งที่มีข่าวดาราหรือคนรวยออกทีวีมาบอกว่า จะผ่าตัดคลอดลูกออกเมื่อไหร่ ลูกคนนี้จะมีกำหนดคลอดในวันที่ ๕ ธันวาคม เป็นต้น การกำหนดนั้น ทำได้ประหนึ่งตนเป็นพระเจ้า
ผมว่า พวกเขาไม่ใช่พระเจ้า แต่เพราะพวกเขามีเงิน
พ่อผมสิ เท่กว่าใคร
พ่อไม่มีเงินมากนัก พ่อเลือกให้แม่คลอดที่บ้านเพียงเพราะอยากช่วยดูแลแม่เวลาเจ็บเวลาเบ่ง ซึ่งผมคิดว่า
“แม่ง ..มัน โคตร แมน”
แม่คลอดได้เองเพราะเราจน ผมจึงคิดเสมอว่า “พวกเราโชคดี
ทุกวันนี้ ผมยังคิดถึงบ้านเช่าหลังนั้นที่หลังสวน ไม่รู้ว่าตอนนี้มันยังเหลืออยู่ไหม ใครอยู่หลังสวน ช่วยถ่ายรูปมาให้ดูหน่อยสิครับ
บ้านของเราถูกรื้อหลังจากพ่อตายไปราว ๑๐ ปี ไม้แทบทุกชิ้นถูกขนมาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านผมที่เราอยู่กันในขณะนี้ ผมได้ลูบมันเมื่อคืดถึงพ่ออยู่บ่อยๆ
สปอยเล่อร์ของปีกเครื่องยกขึ้นขึ้นเล็กน้อย มันจึงเกิดแรงกดให้เจ้าหางเหลืองมันลดระดับลงมาฮวบหนึ่ง
ผมคงต้องจบบันทึกการเบ่งของแม่สักที
เครื่องลง
ธนพันธ์ ชูบุญถูกทำคลอดโดยพยาบาลผดุงครรภ์บนบ้านปู่
๓๐ พย ๖๑
ผมก็โชคดีเหมือนหมอนะครับ แม่อุ้มท้องผมเดินจากบ้านมาเบ่งผมออกที่ ร.พ.สงขลา 555
-สวัสดีครับ-ผมก็โชคดีที่ถูกแม่เบ่งครับ-แม่เล่าให้ผมฟังว่าวันที่เจ็บท้องใกล้คลอดผม แม่ไปเลี้ยงควายที่ทุ่งนา-ผมถูกทำคลอดด้วยฝีมือจาก”ยายป้อ”หมอตำแยประจำหมู่บ้าน-ผมเป็นลูกคนที่ 9 จากครอบครัวของพ่อผ่าน-แม่เหรียญทอง จอมดวง-ผมโชคดีที่มีพ่อ+แม่+พี่ ๆ คอยดูแล จนสำเร็จการศึกษาและมีงานทำที่มั่นคง-อ่านบันทึกนี้แล้วทำให้อบอุ่นใจมากๆ ครับ-แม้ว่าตอนนี้พ่อ+แม่ และพี่สาวอีกคนหนึ่งจะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่เราก็ยังระลึกถึงครับ…-ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้มากๆ ครับ