สื่อการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ชีวิตสัมพันธ์ การถ่ายทอดลักษณะพ่อแม่สู่ลูก
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3ออกแบบการสอนโดยใช้ ADDIE Model
1. การวิเคราะห์ ( Analysis ) ประกอบด้วยรายละเอียดแต่ละส่วน ดังนี้
1.1 การกำหนดหัวเรื่องและวัตถุประสงค์ทั่วไป - สิ่งมีชีวิตทุกชนิดเกิดจากสิ่งมีชีวิตเดียวกัน ลูกจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับพ่อแม่ ลักษณะเหล่านี้จะถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก
1.2 การวิเคราะห์ผู้เรียน - เนื่องจากตัวโรงเรียนอยู่ในพื้นที่ชนบท ชุมชนที่นักเรียนอาศัยอยู่มีลักษณะเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ ซึ่งคนในชุมชนมีความเกี่ยวพันธ์กันทางสายเลือด ซึ่งจะทำให้นักเรียนมีความเข้าใจในบทเรียนได้ง่ายขึ้น
1.3 การวิเคราะห์วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม - อภิปรายลักษณะต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตใกล้ตัวได้ - เปรียบเทียบและระบุลักษณะที่คล้ายคลึงกันของพ่อแม่ กับลูกได้ - อธิบายลักษณะที่คล้ายคลึงกันของพ่อ แม่ กับลูกว่าเป็นการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้
1.4 การวิเคราะห์เนื้อหา - ในเนื้อหาบทเรียนที่จะสอนเป็นเรื่องชีวิตสัมพันธ์ การถ่ายทอดลักษณะพ่อแม่สู่ลูก ในแต่ละคาบเรียนสอนไปตามเนื้อหาหนังเรียน และมีกิจกรรมเกมให้เด็กๆทำ เพื่อให้เข้าใจในเนื้อหาง่ายขึ้น - ในการสอนก็จะวางแผนในการสอนโดยจะเริ่มจากตัวเนื้อหาที่เป็นพื้นฐานที่สุดก่อนแล้วค่อยเจาะลึกในเนื้อหา ต้องให้เด็กเข้าใจบทเรียนตามลำดับความยากง่ายไป
2. การออกแบบ ( Design )
2.1 การศึกษา วิเคราะห์และสังเคราะห์
- ในเนื้อหาที่จะสอน จะเริ่มจากสอนให้เด็กเข้าใจเรื่องกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ
- เมื่อเด็กเข้าใจสามารถอธิบายลักษณะที่คล้ายคลึงกันของพ่อ แม่ กับลูกว่าเป็นการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้
2.2 การออกแบบการเรียนการสอน
- วางแผนการสอน เริ่มตั้งแต่ตัวเนื้อหาที่เป็นพื้นฐานไปจนครบบท
- ในการสอนทุกคาบ ทุกเนื้อหาต้องยกตัวอย่างประกอบเพื่อให้เด็กเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น
- ในคาบเรียนอาจมีกิจกรรมประกอบการเรียน เช่น ครูแบ่งนักเรียนออกเป็น 5 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มได้รับแผนภาพการถ่ายทอดลักษณะของสิ่งมีชีวิต ชนิดต่างๆ ได้แก่ ไก่ แมว ปลากัด สุนัขพันธุ์ผสม ต้นบอนสี และดอกชบาสี ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มสังเกตภาพที่นักเรียนได้รับ แล้วบันทึกผล เป็นต้น
- ในการประเมินผู้เรียนจะให้เด็กทำข้อสอบก่อนและหลังเรียนเพื่อดูความเข้าใจของเด็ก และประเมินได้จากกิจกรรมกลุ่มที่เด็กๆได้ทำร่วมกันได้อย่างสนุกสนาน และเข้าใจหรือไม่
3. การพัฒนา ( Development )
- ในเนื้อหาที่จะสอนต้องสามารถปรับเปลี่ยนได้ หากเด็กไม่เข้าใจ
- มีการทบทวนการสอนในแต่ละวันเสมอว่าเด็กได้รับมากน้อยเพียงใด
- ดูความเข้าใจของเด็กแต่ละคนว่ามีมากน้อยเพียงใด แล้วลองปรับหรือพัฒนารูปแบบการสอนตามความเหมาะสม
- กิจกรรมเกมควรมีให้เด็กร่วมทำบ่อยๆเพราะจะช่วยพัฒนาการเรียนรู้ได้มาก และสามารถประเมินความเข้าใจของเด็กได้อีกด้วย
4. การนำไปใช้ ( Impelment )
4.1 การปฏิบัติภาคสนาม - จากการวางแผน และรูปแบบการสอนต้องทำให้ผู้เรียนเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ให้ได้
4.2 การเผยแผ่ระบบ - หากรูปแบบการสอนนี้ทำให้ผู้เรียนเข้าใจในบทเรียนได้มาก ระบบนี้ก็จะสามารถใช้ในสถานศึกษาได้ยาวนานและอาจจะถูกพัฒนารูปแบบให้ดีขึ้นไปกว่านี้ก็ได้
5. การประเมิน ( Evaluation )
- มีแบบทดสอบให้ผู้เรียนทำทั้งก่อนและหลัง เพื่อวัดความเข้าใจในการเรียนรู้
- รูปแบบการสอนหากใช้แล้วผู้เรียนมีพัฒนาการได้น้อยก็ควรนำรูปแบบมาปรับปรุงหรือจัดรูปแบบขึ้นมาใหม่ ต้องคำนึงตลอดเวลาว่าผู้เรียนเป็นไปตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ ถ้าไม่ก็ควรนำรูปแบบนั้นมาปรับปรุงให้เร็วที่สุด
**สมุดเล่มนี้สร้างขึ้นเพื่อประกอบการศึกษาวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาการเรียนการสอน
อ้างอิง แผนการจัดการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้น ป.3 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี เขต 2
ไม่มีความเห็น