ภาพที่ติดตาตรึงใจผมมาก เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่เรียนชั้นประถมฯ ผมคิดถึงวิชาเกษตรฯ ครูให้ผมปลูกผักบ่อยมาก และทุกครั้งที่ปลูกผมไม่เคยประสบความสำเร็จ..ทั้งในรูปทรงของแปลงและผลผลิต..
ผมจะมองแปลงข้างๆของเพื่อนอย่างชื่นชมและ “ทึ่ง”มาก ตั้งคำถามอยู่เสมอว่า..ทำไมปลูกงามจัง (วะ) ตอนหลังๆก็ได้คำตอบ เพราะเพื่อนเป็นลูกของคนไทยเชื้อสายจีน มีทักษะในเรื่องของการปลูกผักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว..
แต่ผมไม่เคยท้อ..ปลูกผักไม่งาม ก็ไม่เคยปฏิเสธการทานผัก ทานได้เกือบทุกชนิด ยิ่งเป็นผักปลอดสารพิษจะรีบคว้าก่อนเลย
เคยคิดไว้ว่าสักวัน..ต้องเอาดีทางปลูกผักให้ได้ ไม่เห็นจะยาก พอเป็นครูในแถบอีสานใต้ ก็ไม่ค่อยจะได้ปลูกเพราะเป็นท้องถิ่นที่ประสบภัยแล้ง แต่ก็มีเวลาศึกษาดูงานแถบหัวไร่ปลายนา ที่ชาวบ้านชอบปลูกผักบริเวณใกล้ๆบ่อน้ำ
พอย้ายมาภาคกลาง ได้เป็นครูและผู้บริหารหลายที่ ก็เพิ่งมาเริ่มต้นและผูกพันกับงาน “ปลูกผัก” ณ บ้านหนองผือแห่งนี้ อย่างจริงจังและต่อเนื่อง...
เรียนรู้และลองผิดลองถูก ถามเพื่อนถามผู้ปกครองมาโดยตลอด จนรู้สึกว่าลงตัวในการปฏิบัติและถอดบทเรียนในทุกเมื่อ..เพื่อการเรียนรู้
๑๐ ปีที่ผ่านมา..เป็นช่วงเวลาของการปรับเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน..วิชาเกษตร มิได้หายไปไหน ก็แค่เป็นส่วนหนึ่งของสาระการงานฯ..จนรู้สึกว่าเกือบจะลางเลือน...ไปจากโรงเรียน
เมื่อไม่มีครูเกษตร..และโรงเรียนไม่มีแหล่งน้ำ เราจะเห็นแปลงผักน้อยลงทุกที ยิ่งนโยบายฯการศึกษาหาความแน่นอนไม่ได้ ปรับเปลี่ยนกันรายวัน ความสำคัญของวิชาเกษตร..จึงถูกมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ..
ไม่เหมือนกับกิจกรรมตามนโยบายฯ หรือการแข่งขันเพื่อช่วงชิง “เหรียญทอง” เพื่อความเป็นเลิศของครูและโรงเรียน..ที่พยายามปั้นให้เด็กเก่ง..แต่ผมกลับไม่แน่ใจว่าเด็กเก่งแล้ว จะรู้จัก “พอเพียง” หรือเปล่า จะพึ่งตนเองได้หรือไม่?
บางที..เราอาจจัดการศึกษาไปเพื่อเป็นผู้บริโภคมากกว่าเป็นผู้ผลิต..เป็นผู้ซื้อสารพิษมาใส่ตัวมากกว่าที่จะคิดลงทุนลงแรง..เราสร้างวัฒนธรรมทางการศึกษาที่ผิดๆกันตั้งแต่ขั้นพื้นฐานนี้เลยใช่ไหม?
วันนี้..ผมเตรียมเพาะเมล็ดผัก..เหมือนว่าได้เตรียมสื่อการสอน ก่อนที่จะให้นักเรียนนำไปลงแปลงของตนเองในอีก ๗ – ๑๐ วันข้างหน้า..ผมมองว่าผมได้อะไรมากมายจากกิจกรรมการ “ปลูกผัก” ในทุกๆครั้ง
สิ่งที่หลายคน..อาจมองว่า “ขาดทุน” เพราะต้องใส่ใจลงไป อดทนที่จะต้องรอคอยผลผลิต..ในระหว่างที่รอนักเรียนต้องทำงานทุกวัน ต้องขยันขันแข็งและสามัคคีในการทำงานไปด้วยกัน..ฝึกการทำงานเป็นทีม...
ในเรื่องของขั้นตอนกระบวนการเรียนรู้ ได้บูรณาการภาคปฏิบัติอย่างชัดเจน แต่ก็น่าแปลกใจ ที่วิชาการเกษตรฯของไทย ซึ่งเป็นหัวใจของชาติ มิเคยมีนักการศึกษาคนใดพูดถึง..
จริงๆแล้ว..คุณค่าและตัวชี้วัดของงานเกษตร..เป็นรูปธรรมมาก มันอยู่ที่โรงเรียนจะตระหนักแค่ไหน? หลายครั้งที่ผมต้องขาดทุน..ทั้งค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าไฟฟ้าสำหรับสปริงเกอร์ และเมื่อพืชผัก..ต้องเก็บผลผลิต ยังต้องขายให้ผู้ปกครองในราคาถูก เพื่อให้ชุมชนฯได้ทานของดี..
ส่วนหนึ่ง..นำสู่โครงการอาหารกลางวันและแบ่งสันปันส่วนให้นักเรียน..จึงอาจไม่เหลือเป็นเงินเป็นทองให้ต้องมานั่งชื่นชม แต่สิ่งที่สั่งสมในกายและใจนักเรียน มันประมาณค่าไม่ได้จริงๆ..
ผมรู้แต่ว่า..ในส่วนของกำไรที่คนเรามักจะมองไม่เห็น ก็แค่ให้มองเป็น “ทักษะชีวิต” แค่คิดก็คุ้มแล้ว...
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
เป็นโครงการที่ทำได้ดีครับ อยากให้ผู้บริหารที่มีจิตวิญญาณแบบนี้ ได้ช่วยกันสร้างเด็กให้มากๆ ครับ
เป็นแบบอย่างที่ดีมากๆ ค่ะ
ผมครุ่นคิดมาสักระยะว่า ๑) ทำอย่างไรเขาจึงจะลงมือทำก่อนที่เขาจะเห็นความสำคัญ (เพราะเขาไม่เห็นความสำคัญจึงไม่ยอมลงมือ) ๒) ทำอย่างไรเขาจะไม่อยากรวย (เกษตรสมัยใหม่ห่างไกล “ความพอเพียง” มาก ทุกคนมุ่งผลิตและอยากรวย) ๓) ทำอย่างไรเขาจะภูมิใจและไม่ทิ้งบ้านไปตลอดชีวิต หรือทำชีวิตให้ได้หนีจากบ้านไป และ ๔) ทำอย่างไรเขาจึงจะไม่ทิ้งวัด และสนใจปฏิบัติธรรม…. ท่าน ผอ. ได้คิดการใหญ่เรื่องขยายความสำเร็จของท่านไหมครับ …