รักที่หลุดพ้น (ตอนที่ 20 ผู้ร้ายกลับใจ)


วรรณกรรมอิงธรรมะ เชื่อมโยงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับประวัติการศึกษาไทยในชนบทแห่งหนึ่ง ของยุคหนึ่ง ในหลายๆมิติ

                   

          เย็นวันหนึ่งหลังโรงเรียนเลิก นิพาดากำลังจะเดินกลับบ้านพักครูพร้อมธรรศ  นักเรียนคนหนึ่งวิ่งมาบอกว่า  มีผู้ชายคนหนึ่งมานั่งรอพบเธอที่ใต้ต้นไม้หน้าโรงเรียน  เธอสงสัยเหมือนกันว่าเป็นใคร  กลางวันแสกๆคนตั้งเยอะแยะคงไม่ใช่โจรหรอก  เธอกับธรรศเดินไปยังจุดตามที่นักเรียนแจ้งมา    
          มองไปแต่ไกลเห็นชายคนหนึ่งนั่งก้มหน้าอยู่คนเดียว พอเดินใกล้เข้าไป ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้น  นิพาดาอุทาน
         "ชัชพงศ์..."  เธอฉุดแขนธรรศให้หยุดไม่กล้าเข้าไปใกล้ ไม่แน่ใจว่าเขาจะมาดีหรือร้าย  ชัชพงศ์ตอนนี้ดูสารรูปทรุดโทรมลงไปมาก ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่มีเค้าของหนุ่มสังคมที่เคยกร่างทุกอิริยาบถมาก่อน
        ชัชพงศ์ยิ้มให้อย่างเจื่อนๆ พร้อมกล่าวด้วยสุ้มเสียงราบเรียบ และแหบเครือ     
        "หวัดดีครับ … ขออภัยที่มารบกวน … ผมมาดีครับ"
    
        นิพาดาเริ่มวางใจมากขึ้น  ทั้งสองเดินเข้าไปใกล้     
        "ไปยังไงมายังไง ถึงมาที่นี่ได้"
นิพาดาถามนำ       
        "ขอเวลาคุยด้วยสักครู่ เดี๋ยวก็ไปแล้ว" เขาพูดด้วยสุ้มเสียงวิงวอน  และชี้ให้นิพาดากับธรรศนั่งที่ม้านั่งหินฝั่งตรงข้าม        
        นิพาดาทรุดกายลงนั่งอย่างว่าง่าย ธรรศยังยืนคุมเชิงอยู่ข้างๆอย่างไม่วางใจ  แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะมาไม้ไหนอีก  ชัชพงศ์หันไปทางธรรศค้อมศีรษะเล็กน้อย      
        "ผมขอโทษในทุกอย่างที่ทำไม่ดีกับคุณ และขอบคุณที่ไม่แจ้งความเอาผิดผม "
  เป็นประโยคแรกในการเริ่มสนทนาของชัชพงศ์  ดูสุ้มเสียงอ่อนโยน รู้สึกได้ถึงความจริงใจ ธรรศพยักหน้าและกล่าว    
        "ไม่เป็นไร ผมลืมไปแล้ว"
  และยังคงยืนอยู่ด้านหลังนิพาดาต่อไป  นิพาดาเริ่มถาม     
        "มีธุระอะไรที่มาถึงที่นี่"      
        
       ชัชพงศ์เริ่มเล่าถึงเคราะห์กรรมที่ตนประสบช่วงสามปีที่ผ่านมาให้ฟังอย่างคนท้อแท้ชีวิต และไม่อาย ได้ความว่า  หลังตนเองและพวกไปลอบทำร้ายธรรศ  ก็หนีตำรวจไปต่างจังหวัดระยะหนึ่ง  ต่อมาทราบว่าทางธรรศไม่แจ้งความเอาผิด  พอเรื่องซาๆไปก็กลับบ้าน  มาช่วยพ่อทำธุรกิจ  แต่ต่อมาไม่นานพ่อถูกตำรวจจับข้อหาทำธุรกิจการค้าผิดกฏหมาย พ่อติดคุก  ชัชพงศ์ก็พลอยถูกควบคุมตัวในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด  ชัชพงศ์ติดคุกไม่นานก็ถูกปล่อยตัว  แต่พ่อที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว  ยังคงติดคุกต่อไปไม่นานพ่อก็เสียชีวิตในคุก  ธุรกิจถึงขั้นล้มละลาย แม่เสียอกเสียใจ  ล้มป่วยลงและเสียชีวิตตามพ่อไปอีกคน  เหลือเขาที่เป็นลูกคนเดียว  ไม่สามารถกู้ธุรกิจให้ฟื้นคืนได้ แถมถูกธนาคารที่พ่อไปกู้เงินมายึดบ้านที่ดินและทรัพย์สินที่เหลืออยู่ไปทั้งหมด  เขาจึงไปขออาศัยอยู่กับเพื่อนที่เขาเคยช่วยเหลือมา อยู่ได้ไม่นานเพื่อนก็แสดงท่าทีรังเกียจ  จึงไปหาเพื่อนคนอื่น  แต่ก็ถูกรังเกียจทุกคน เงินที่พอมีติดตัวก็ร่อยหรอลง  เพิ่งรู้สึกสำนึกตัวว่านี่คงเป็นกรรมที่ทำตัวเกเรและทำอะไรไม่ดีไว้เยอะ   คนที่เพิ่งพ้นโทษมาไม่นานและมีความรู้งูๆปลาๆไปสมัครทำงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ

        พอดีทราบข่าวว่านิพาดากับธรรศมาเป็นครูที่นี่ จึงมาหา ไม่คิดมารบกวนอะไรหรอก เพียงอยากมาขอโทษที่ทำความไม่ดีไว้ บางทีอาจช่วยให้กรรมที่สร้างไว้เบาบางลงได้บ้าง  แล้วเดี๋ยวก็จะลาไปลองหางานทำในต่างจังหวัด เผื่อจะได้งานทำ ตั้งเนื้อตั้งตัวได้บ้าง       
        นิพาดากับธรรศรู้สึกเศร้าใจไปกับเคราะห์กรรมในชีวิตของชัชพงศ์อย่างยิ่ง ความรู้สึกที่ไม่ดีในตัวเขามลายไปสิ้น มีแต่ความสงสาร เห็นใจ และอยากจะหาทางช่วยเหลือเขาเข้ามาแทน  ได้เห็นความจริงแท้เรื่องกฏแห่งกรรมและกฏไตรลักษณ์อย่างชัดเจน  แต่ก็ไม่พูดอะไรให้ชัชพงศ์เสียใจมากไปกว่านี้      
        ธรรศเองรู้สึกไม่สบายใจว่า พ่อของเขาจะมีส่วนทำให้พ่อของชัชพงศ์ต้องถูกจับและครอบครัวล้มละลายในครั้งนี้หรือไม่  จึงถามชัชพงศ์ที่พ่อเขาถูกจับว่ามีใครชี้เบาะแสหรือแก้แค้นอะไรหรือไม่  ก็ได้ความว่า พ่อเขาถูกตำรวจติดตามมานานแล้ว ไม่มีใครแจ้งตำรวจหรือชี้เบาะแสอะไรหรอก ทำให้ธรรศรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง  แต่ยังไงเขาจะต้องโทรถามพ่อให้ได้ว่าพ่อยังตามแก้แค้น ตามที่เคยลั่นวาจาหรือไม่ เพราะเขาไม่อยากให้เป็นเวรเป็นกรรมต้องตามไปชดใช้กันอีก       
        ธรรศกับพนิดาปรึกษากันว่าจะช่วยเหลือชัชพงศ์อย่างไรในตอนนี้ แล้วทั้งสองคนก็พูดขึ้นพร้อมกันว่า        
       "หลวงพ่อ"
      
       
       เป็นอันว่าเย็นวันนี้ ลูกเศรษฐีต้องไปขอกินข้าวก้นบาตรพระ และไปขอนอนที่วัดของหลวงพ่อไปพลางๆก่อน  วันต่อมาชัชพงศ์ได้ทำหน้าที่ลูกศิษย์พระตอนออกบิณฑบาตร และช่วยเหลือกิจของสงฆ์ทุกอย่างที่หลวงพ่อใช้  อยู่รับใช้หลวงพ่อหลายวัน ได้รับกระแสความเมตตาจากหลวงพ่อ ได้มีโอกาสรับใช้กิจการพระพุทธศาสนา ร่วมสวดมนต์ไหว้พระ ปฏิบัติธรรม ทำให้จิตใจเขาเริ่มผ่อนคลาย ค่อยๆลืมความทุกข์ที่ผ่านมาไปบ้าง        
       นานวันเข้าชัชพงศ์ยิ่งได้ซึมซับธรรมะ มีความสุขที่ได้รับใช้ธรรมะมากขึ้นเรื่อยๆ  วันหนึ่งเขาเข้าไปกราบหลวงพ่อเพื่อขออุปสมบทในบวรพุทธศาสนา หลวงพ่อเห็นความตั้งใจจริงและเห็นว่าจะเป็นวิถีทางให้เขาได้พ้นจากความทุกข์ได้อย่างแท้จริง  จึงอนุญาตและรับเป็นพระอุปัชฌาย์และหาเจ้าภาพในการบวชให้       
       พระชัชพงศ์ในวันนี้ช่างต่างจากนายชัชพงศ์จอมเกเรในอดีตอย่างสิ้นเชิง บัดนี้ท่านกลายเป็นพระปฏิปทาที่รักษาศีลวัตรของสงฆ์อย่างเคร่งครัด  หลังบวชได้ไม่นานหลวงพ่อก็ส่งไปอบรมหลักสูตรวิปัสสนากรรมฐาน 10 วัน  หลังกลับจากอบรม พระชัชพงศ์มีความเพียรต่อการรักษาศีล ปฏิบัติสมาธิ และภาวนาวิปัสสนาอย่างต่อเนื่อง  หลวงพ่อจึงให้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงดูแลเรื่องการส่งชาวบ้านไปอบรมหลักสูตร 10 วัน และจะให้พระชัชพงศ์ไปร่วมปฏิบัติด้วยทุกครั้ง  พร้อมทั้งดูแลเรื่องการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาร่วมกันเป็นกลุ่มที่วัดในวันอาทิตย์                             -----------------------------                                                         
                                      
                          

หมายเลขบันทึก: 650659เขียนเมื่อ 25 สิงหาคม 2018 10:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน 2020 11:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท