นักกีฬาเหี้ย ผมถูกด่า


“ไอ้พวกนักกีฬาเลว ไอ้พวกนักกีฬาเหี้ยๆ” เสียงดังมาจากด้านหน้า

“จ้าครับ พ่อว่าเรากำลังถูกด่า” ระบบประสาทผมเริ่มออกอาการเกร็ง ผมบอกลูก พลางเอื้อมมือไปจับข้อมือลูกไว้ เผื่อมีอะไรถลาเข้ามา ผมพร้อมตั้งรับและเอาคืนหากลูกผมเป็นอะไรไป

......................

“ผมกับลูกไปวิ่งกันครับ” เราไปวิ่งในรายการที่ถูกจัดโดยโรงพยาบาลศิครินทร์ หาดใหญ่ เขาบอกว่างานนี้จัดขึ้นเพื่อหารายได้เพื่อช่วยเหลือเด็กที่เป็นโรคหัวใจ เขาหาเงินเข้ากองทุนหรือมูลนิธิอะไรสักอย่างผมก็ไม่ได้จำ 

“การให้ ไม่มีที่สิ้นสุด” เอิ่ม..ขอโทษทีนะครับ ผมรู้สึกว่าเขาใช้คำสวยกว่านี้ แต่ช่วงนี้ไม่รู้เป็นไง ความจำผมสั้นเหลือเกิน เอาเป็นว่า เขาต้องการจะสื่อว่า การที่เราซื้อบัตรมาวิ่งนั้น เป็น “การให้” 

มันคงจะหมายความตามนั้นกระมัง

“แต่ผมไม่เคยเชื่อเลย” 

ทำไมน่ะเหรอครับ 

ก็เราซื้อบัตรวิ่งเพียง ๓-๔๐๐ บาท ได้เสื้อมาตัวหนึ่ง (จะไม่เอาก็ไม่ได้เสียด้วย) ได้ของแถมติดมือมาอีกมากมาย ในวันวิ่งก็ยังได้เหรียญ ได้ของกิน แถมบางทีก็กินทิ้งกินขว้างอีกต่างหาก ดีไม่ดี ของที่หิ้วกลับมานั้นมีมูลค่ามากกว่าเงินที่จ่ายไปด้วยซ้ำ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นการ “ให้” ได้อย่างไร

หรือเขากำลังจะบอกว่า เพียงแค่นี้ก็เกิดกุศลจากการ (อยากจะ) ให้ เรียบร้อยแล้ว?

อันที่จริง ผมอยากจะให้ผู้จัดงานวิ่งทุกๆงานเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ครับ เขาควรจะบอกคนสมัครมาวิ่งว่า “มาร่วมกันเป็นผู้รับอย่างสุขใจ ด้วยการวิ่งการกุศลกับเรา” จะดีกว่าไหม อิอิ

คนวิ่งเป็นผู้รับ คนจัดเป็นผู้ให้ 

ผมกำลังจะอธิบายครับ

อย่างแรก เขาจัดให้พวกเราได้มาวิ่งออกกำลังกาย อย่างนี้ใครได้ประโยชน์ ตอบได้อย่างไม่ขวยเขินว่าเป็น “พวกเราเหล่านักวิ่ง” นั่นแหละ เราได้วิ่ง เราได้ออกกำลังกาย เราต้องได้ประโยชน์สิ เห็นไหม

เราได้วิ่งกับเพื่อนๆนักวิ่งมากมาย หลายคนวิ่งกับก๊วน หลายคนมาพบเจอเพื่อนๆ ทั้งใหม่ทั้งเก่า ว่ากันว่า วิ่งกันหลายคน วิ่งกันเป็นฝูงๆ มันสนุกกว่าวิ่งคนเดียวมากนัก (ผมเชื่อสุดใจ เพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ)

เราได้วิ่งบนถนน วิ่งมันกลางถนนเลย ซึ่งปกติมันทำไม่ได้  เราได้วิ่งบนพื้นราดยางมะตอย มันนุ่มเท้านุ่มเข่ากว่าไปวิ่งบนพื้นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กรอบอ่างเก็บน้ำของมหาวิทยาลัยเสียอีก

เห็นไหม เราเป็นผู้ได้ประโยชน์

เราได้เสื้อ 

เสื้อที่ผมไม่เคยได้รู้เลย ว่าต้นทุนที่ตัดทำมา เมื่อหักลบกลบหนี้กันแล้ว มันจะทำให้ผู้จัดได้กำไรไปกี่มากน้อย 

บางทีผมก็มานั่งนึกดูเล่นๆ สิ่งที่เขาเสนอขอรับ “การให้” จากเรามานั้น มูลค่ามันน่าจะเป็นหลักล้าน ปุดโธ่..กำไรจากการขายเสื้อจะได้กันสักกี่บาทเชียวหนา เหมือนคราวนี้ ผู้จัดบอกว่า มีนักวิ่งกว่า ๙ พันคน ถ้าได้กำไรจากเสื้อตัวละร้อย ก็คงมีกำไรสักเกือบล้าน ดูเหมือนเยอะ แต่มันจะน้อยลงทันทีที่นำมาหักกับค่าดำเนินการต่างๆอีกมากมาย 

เรื่องเสื้อ จะว่าไปแล้ว นักวิ่งบางคนคลั่งไคล้เสื้อวิ่งเอาเสียจริงๆ มันคือของสะสม มันคือเสื้อที่มี ส ะ ต อ รี่ มันมีหยาดเหงื่อแรงกาย มันมี ..ฯลฯ บางคนน่าจะมีเสื้อวิ่งงานแบบนี้ล้นตู้ 

เอิ่ม..มันคือความกดดันสินะ เพราะปกติเสื้อเมียมันมาแย่งที่แขวนเสื้อพวกเราอยู่ตลอด และตั้งแต่เราวิ่งอย่างจริงๆจังๆ เสื้อวิ่งที่มีสตอรี่ของเรามันก็มากขึ้น มากขึ้น จนเมียต้องย้ายเสื้อเธอออกไป หึหึ มันคือชัยชนะของลูกผู้ชายตัวผัวชัดๆ

แต่ผมโชคดีที่ไม่สนเรื่องแบบนั้น มีมาเท่าไหร่ ผมก็ส่งไปให้ญาติๆที่ทำสวนอยู่บ้านดอนบ้าง ละแมบ้าง หลังสวนบ้าง เนื้อที่ในตู้จึงยังคงโล่ง เมียก็คงมองๆดูอยู่เช่นกัน เสื้อเธอกำลังจะล้นตู้

เรื่องต่อมาก็คือ มีคนมาคอยดักถ่ายรูปเราตอนกำลังวิ่ง มันดูโคตรจะดี โคตรจะส่งเสริมสุขภาพ โคตรจะฟิน

บางคนดูท่าทางเหนื่อยแทบจะตาย แต่เมื่อเห็นตากล้องส่องมา เขาก็จะเปลี่ยนท่าทางไปเป็นคนสดชื่น ชูสองนิ้ว บางคนยังมีแรงกระโดดขึ้นสูงๆได้ ชนิดที่ว่า อยากให้มันออกมาดูสวยงามอย่างที่สุด

เห็นไหม เรากำลังเป็นผู้รับเห็นๆ

งานวิ่งคราวนี้ ผมเกิดความสุขจากการได้สังเกตผู้คนรอบตัว ความอิ่มเอิบได้มาจากการเห็นผู้รับมีความสุข

ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข็นรถที่มีลูกตัวน้อยนอนหลับปุ๋ยอย่างสบายอยู่ในรถนั้น

มันจะไม่สบายได้อย่างไร ในเมื่อพ่อเขาวิ่งเข็นรถให้แบบนุ่มนวลไม่กระตุกเสียอย่างนั้น ลมเย็นพัดโดนหน้าโดนตัว อากาศยามเช้ามันแสนสบาย โอว..สวรรค์ของไอ้ตัวน้อยจริงๆ

เห็นไหมครับ ถ้าไม่มีงานวิ่งแบบนี้ ผมก็คงไม่ได้เห็นภาพแบบนี้ 

ผมยังได้เห็นคนตาบอดมาวิ่งด้วย อย่างน้อยก็ ๒ คน คนหนึ่งเป็นหญิง อีกคนเป็นชาย 

ที่ผมตื้นตันมากๆก็คือ คนตาบอดทั้งคู่มีคนตาดีจูงเชือกวิ่งประกบเป็นบั๊ดดี้อยู่ตลอดน่ะสิ “นั่นเขาต้องรู้ใจกันขนาดไหนหนา จึงจะวิ่งด้วยกันแบบนั้นได้” ผมรำพึงในใจอย่างมีความสุข และอาจจะสุขกว่านั้น หากคนตาดีคนที่วิ่งคู่อยู่ คือคนหูหนวก และนั่นหมายถึงเขาทั้งคู่เกิดมาเพื่อเป็นอวัยวะให้กันและกัน ผมนี่น้ำตาไหลพราก เอา เอาเข้าไป เพ้อไปเสียฉิบ..

ผมเห็นชายคนหนึ่ง วิ่งไปเหยียบแก้วน้ำไปอย่างมีความสุข 

“กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ” เออ มันก็ดูฟินดีเหมือนกัน ผมเผลอลองวิ่งเหนียบแก้วนั้นดูบ้าง

แก้วพลาสติกที่จุดแจกน้ำตกเกลื่อนกลาดบนพื้นถนน คนบางคนได้เขวี้ยงแก้วน้ำลงบนพื้นถนนด้วยความสุขใจ “กูขอหน่อยเถอะ ปกติทิ้งแบบนี้ไม่ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า”

แล้วแก้วนั้นก็ได้สนองความสุขของผู้ทิ้ง ได้สนองความสุขของชายเหยียบแก้วคนนั้น และผมก็ได้เห็นชายคนหนึ่ง วิ่งหยิบแก้วน้ำที่กระเด็นออกมาไกลกว่าใบอื่นๆ เขาคงเกรงว่า คนเก็บอาจจะเก็บมาไม่ถึงก็ได้

โห แค่นี้ผมก็ตื้นตันขึ้นมาอีกรอบ 

เห็นไหม ได้มาวิ่งแบบนี้ เรากลายเป็นผู้รับจริงๆนะครับ อย่าเหลิงหลงคิดว่า เรามาสร้างกุศลจากการให้ไปเสียล่ะ

.......................

“ไอ้เหี้ยยยยยย ไอ้พวกเลวววววว ไอ้พวกนักกีฬาเห็นแก่ตัวววววว พวกมึงจอดรถกันแบบนี้ คนเขาจะออกจากบ้านได้ยังไง มึงคิดกันบ้างไหม คนแถวนี้เขาก็ต้องออกไปหาของกิน คนเจ็บต้องไปโรงพยาบาล พวกมึงมักง่ายและใจร้ายมากกกก” เสียงของชายคนนั้นดังมากขึ้นเมื่อเราเดินผ่านหน้าบ้านเขาไป

ซอยที่ผมกับลูกเดินผ่านอยู่นั้นเป็นตรอกเล็กๆที่รถพอจะสวนกันได้ บัดนี้มันกลายเป็นที่จอดรถยนต์จำนวนมากเรียงราย เป็นระเบียบบ้าง ไม่เป็นระเบียบบ้างตามสไตล์คนหาดใหญ่ (เอ๊ะ..หรือว่าแบบคนไทย) และที่แน่ๆ มันขวางทางเข้าออกบ้านของชาวบ้านละแวกนั้นจนหมด

ซึ่งมันก็น่าเห็นใจเขาจริงๆ

ดีที่ผมไม่ได้จอดตรงนั้น ผมเลือกที่จะจอดไกลออกไป และไม่ได้ขวางหน้าบ้านใครทั้งนั้น แต่ตอนนี้ ผมกับลูกก็ถูกด่าไปเต็มๆ ฮ่าๆๆ

“นี่ถ้าเป็นพ่อ พ่อไม่ด่าดังแบบนี้หรอกนะลูก ด่าแบบนี้ใครจะกล้ามาเลื่อนรถ พ่อจะยืนรอ รอจนเขามาที่รถ คราวนี้จะด่ายังไงก็ด่าไป” ผมบอกลูกสาว ในมือก็ยังคงกำข้อมือลูกสาวแน่นอยู่ ถ้าลุงแกปรี่เข้ามา ผมก็คงเลือกที่จะซัดแกก่อน

....................

ผมมีคำถามติดอยู่ในใจจากการวิ่งในคราวนี้

ผมวิ่งมินิมาราธอนด้วยความเร็ว ๗.๓๓ นาทีต่อกิโลเมตรโดยเฉลี่ย

ข้อแรก เมื่อวิ่งมาได้ ๓ กิโลเมตร นักวิ่งมินิมาราธอนคนแรกก็วิ่งสวนกลับมาแล้ว ดังนั้น เขาวิ่งด้วยความเร็วเท่าไร

ข้อสอง เมื่อผมวิ่งได้ ๗ กิโลเมตร นักวิ่งฮาล์ฟมาราธอน (ซึ่งถูกปล่อยตัวก่อนผม ๑๕ นาที) ก็วิ่งแซงผมไป ดังนั้น เขาวิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่

ข้อสาม เมื่อผมวิ่งได้ ๗.๘ กิโลเมตร น้องจ้าซึ่งวิ่งฟันรัน ๔ กิโลเมตร ออกตัวหลังจากผม ๑๕ นาที เขาวิ่งถึงเส้นชัย ดังนั้น จ้าวิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่ 

ข้อสุดท้าย จ้าบอกว่า เธอใช้เวลาวิ่งๆเดินๆ ๔๐ นาทีเท่านั้น (ใน ๔ กิโลเมตร) แสดงว่าน้องจ้าก็ไม่น่าจะออกตัว ๑๕ นาทีหลังผมสินะ คนมันเยอะมาก ดังนั้น กว่าเธอจะได้ออกตัวจริงๆแล้ว มันนานกว่าปกติไปเท่าไหร่

วันมะรืนนี้ ผมจะไปบริจาคเงินเข้ามูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ในกองทุนโรคหัวใจเด็กครับ 

“ผมอยากเป็นผู้ให้” บ้าง

คิดว่าจะบริจาคสัก ๒๐๐๐ บาท จึงอยากจะเสนอว่า ใครตอบมาถูกใจ ผมจะเพิ่มยอดให้ตามข้อที่ถูกใจ ข้อละ ๑๐๐๐ บาท เอ้ย...ล้อเล่นนนน การบริจาค ไม่ควรเกิดจากการพนันสิครับ 

ใครอยากทำบุญด้วยจิตกุศลก็เชิญนะครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ธนพันธ์ ชูบุญวิ่งต่อไปฮึบฮึบ

๒๐ สค ๖๑

ปล. อุตส่าห์ชู ๒ นิ้วไปเสียหลายที แต่หารูปตัวเองไม่เจอเล้ย แฮร่..

หมายเลขบันทึก: 650657เขียนเมื่อ 25 สิงหาคม 2018 10:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 สิงหาคม 2018 10:14 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ปีที่แล้วผมไปเป็น “ผู้รับ” อย่างนี้ล่ะทุกงานเลย แล้วก็ค่อยๆ เลือกเฉพาะบางงาน จนมาถึงตอนนี้ไม่ไปสักงาน สาเหตุคือขี้เกียจตื่นเช้าครับ เพราะปกติผมตื่นสายมากแล้วถ้าวันไหนตื่นเช้ามากๆ ไปงานวิ่งอย่างนี้ วันนั้นสมองก็จะงุนงงอยู่ทั้งวันทำอะไรไม่ได้เลยครับ

เมื่อไหร่หาดใหญ่จะมีงาน midnight run กับเขาบ้างนะ……

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท