บันทึกการกระโดดตึกตายที่ไม่เคยกระโดดตึกตาย


เดินเข้าโรงพยาบาลเมื่อตอนเช้า จะต้องรีบไปเข้าประชุมและเตรียมผ่าตัด ผ่านทางเชื่อมตึกที่อยู่ชั้น ๓ ผมเดินตามปกติ แต่สำหรับเจ้านกกระจอกตัวนั้น มันคงเห็นผมเป็นอสูรกายตัวใหญ่เท่าตึก มันจึงกระโดด จึ๊ก จึ๊ก ไปที่ริมทางเชื่อมนั้นและเตรียมตัวออกบินหนีผมไป

ผมชะลอฝีเท้าลง เผื่อว่าจะคลายความกลัวของมันที่มีต่อผม และเห็นทีว่าจะได้ผล มันจึงยังคงจ่ออยู่ที่ริมทางเชื่อมแห่งนั้น นิ้วเท้าของมันโผล่ออกไปนอกทางเดิน และเบื้องล่างนั้นก็คือชั้นพื้นดินที่ต่ำลงไป ๔ ชั้น

“ไม่กลัวความสูงเหรอ” ผมนึกอยากจะถามมัน

บางครั้งผมก็คิดนะ ว่าในช่วงเวลาที่มันจะกระโดดออกไปแล้วกางปีกโผบินออกไปนั้น มันจะกลัวไหม กลัวความสูง กลัวตก กลัวไหม?

ผมกำลังนึกไปถึงคนกระโดดตึกเพื่อฆ่าตัวตาย ว่าในช่วงอึดใจที่เขายืนอยู่ริมขอบความสูงของอาคารนั้น เขาจะรู้สึกอย่างไร และเมื่อตัดสินใจให้ร่างร่วงลงมาจากยอดตึกนั้น เขาจะกลัวไหม และทันใดที่ร่างเริ่มเข้าใกล้ผืนแผ่นดิน เขาจะรู้สึกอย่างไร และหากอยากกลับใจ เขาจะรู้สึกอย่างไร

มันช่างเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนเสียเหลือเกิน

เอาเถอะ ผมไม่เคยลองกระโดดตึกตาย ผมไม่เข้าใจหรอก ชึวิตนี้ผ่านการกระโดดหอสูงช่วงที่เป็นนักเรียนลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ตอน ม.๒ ก็ไม่น่าจะเทียบเคียงกับการกระโดดตึกตายได้ แต่โปรดรู้ไว้เถิด ว่ามันเสียวชิ้ปหาย

แต่ผมก็เคยมีส่วนร่วมในการกระโดดตึกตายของคนอื่นอย่างน้อยก็ ๔ คนแหละวะ

เฮ้ย...อะไรกัน

ก็กำลังจะเล่าอยู่นี่อย่างไรเล่า

เมื่อราวปี พ.ศ.๒๕๓๙ ผมกำลังเป็นแพทย์ฝึกหัดปีแรก ในตอนนั้นผมหมุนเวียนอยู่ในกองศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะ 

อากงคือคนไข้ที่ผมดูแลอยู่ แกป่วยเป็นโรคมะเร็งของต่อมลูกหมากระยะลุกลาม 

อากงเป็นคนรวย แกมีลูกหลานมากมาย แกเล่าให้ผมฟังว่า ได้ซื้อที่ดินสำหรับเป็นฮวงซุ้ยไว้เรียบร้อยแล้ว มันอยู่บนเนินเขาสวยงาม ตายไปก็จะไปฝังที่นั่น และที่สำคัญ แกบ่นอยากตายอยู่ทุกวัน 

อากงบ่น แต่ไม่มีใครคิดว่าอากงจะทำมันจริงๆ

คืนนั้นผมอยู่เวร ราวเที่ยงคืน มีพยาบาลโทรศัพท์มาแจ้งว่า มีคนไข้กระโดดตึก ผมรีบวิ่งไปในทันที และตกใจมากที่รับทราบว่า คนไข้ที่กระโดดตึกคนนั้นคือ อากง

ผมชะโงกหน้าลงไปดูจากมุมที่คาดว่าน่าจะเป็นที่สุดท้ายที่แกยืนอยู่ เห็นลางๆว่าบนพื้นเบื้องล่างนั้นคือร่างคนในชุดสีขาวของโรงพยาบาล

“อากงลุกขึ้นลงจากเตียงมา หนูก็นึกว่าแกจะเข้าห้องน้ำ” เสียงของผู้หญิงซึ่งเป็นคนเฝ้าไข้พิเศษบอกผมมา

“เห็นว่านานผิดสังเกตจึงเรียกดู แกไม่ได้อยู่ในห้องน้ำ จึงเดินไปบอกพยาบาล เดินหารอบระเบียงก็ไม่เจอ จนนึกขึ้นมาได้ว่าแกบ่นอยากตาย” เสียงนั้นสั่นเครือ น้ำตาร่วงผล็อย

อาม่าคู่ชีวิตนั่งอยู่บนโซฟานั่งเหม่อลอย แกน่าจะร้องไห้อยู่พักใหญ่แล้ว

ผมรีบโทรศัพท์รายงานรุ่นพี่อาวุโส แล้วรีบลงไปที่ด้านล่าง 

อากงเสียชีวิต แกไปสบายแล้ว แกพ้นทุกข์ แต่คนด้านหลังระทมหนัก 

เอ๊ะ..แกพ้นทุกข์ไปแล้วจริงๆเหรอ

รายต่อมานั้น ผมไม่ได้เห็น เพียงแต่ได้ยิน

“ตุ๊บ” 

ถ้าคำนวณระยะทางจากห้องตรวจคลินิกฝากครรภ์ที่ผมนั่งทำงานและสอนนักเรียนแพทย์อยู่ไปจนถึงพื้นถนนคอนกรีตหลังศูนย์อาหารนั้นก็น่าจะไกลกันราว ๓๐ เมตร

มีพี่พยาบาลมาเล่าให้ฟังว่า คนกระโดดตึกลงมา

“นั่นไง คงลงมาจากชั้นสูงทีเดียว ผมได้ยินเสียงดังขัดขนาดนั้น” ผมพึมพัมไม่ได้ออกไปดู เพราะรถพยาบาลมาพาร่างไปแล้ว

“เห็นมีคนบอกว่า เป็นคนนอกโรงพยาบาลค่ะ ไม่ใช่คนไข้ที่เรา” เธอยังคงทำหน้าที่เป็นสายข่าว

ผมไม่ได้สะเทือนใจ แต่กลับฉงน ว่าทำไมเขาจึงต้องมากระโดดตึกของโรงพยาบาล

แต่เอาเหอะ ยังไงเขาก็คงจะพ้นทุกข์ไปได้เสียที โลกนี้มันคงระทมจนเกินไปที่จะมีชีวิตอยู่

เอ๊ะ..เขาพ้นทุกข์ไปแล้วจริงๆเหรอ

รายต่อมาเกิดขึ้นในช่วงที่ผมเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาล และกำลังอยู่เป็น ผอ.นอกเวลาฯ

วันนั้นราวเกือบ ๖ โมงเย็น พยาบาลหัวหน้าเวรได้โทรศัพท์มาแจ้งว่า มีคนกระโดดตึกจากอาคารจอดรถลงมา คนไข้อยู่ห้องฉุกเฉินและคาดว่าไม่น่าจะรอดชีวิต

ไอ้ผมก็ตกใจ เพราะคนที่กระโดดลงมานั้น ผมน่าจะรู้จักเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และเขาก็จากเราไปโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องตัดสินใจเช่นนั้น 

ความสะเทือนใจไม่ใช่แค่เรื่องของความตาย แต่ความสะเทือนใจเป็นที่สุดคือสิ่งที่พวกเราพบเห็นเด็กตัวเล็กๆคนนั้นที่กำลังยืนร้องไห้อยู่ที่ลานจอดรถชั้นที่พ่อกระโดดลงไป เขายังคงยังเล็กเกินไปกว่าที่จะเข้าใจได้ว่าอะไรเกิดขึ้นเมื่อครู่ที่ผ่านมา

แต่เอาเหอะ ยังไงเขาก็คงจะพ้นทุกข์ไปได้เสียที โลกนี้มันคงระทมจนเกินไปที่จะมีชีวิตอยู่

เอ๊ะ..เขาพ้นทุกข์ไปแล้วจริงๆเหรอ

รายสุดท้ายนี่ก็เกี่ยวข้องกับผมในฐานะที่เป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลอีกนั่นแหละ

รายนี้คงมีความเครียดมาก เพราะลูกเขากำลังป่วยหนักอยู่ในห้อง ICU 

เรากลับไปดูกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลและพบว่า เขาเดินขึ้นเดินลงจากชั้น ๑ ไปชั้น ๕ อยู่หลายรอบ ก่อนที่จะตัดสินใจเขย่งขึ้นไปยืนอยู่บนราวกั้นกันตกของระเบียง และเพียงเสี้ยววินาทีนั้นก็กระโดดลงมาโดยไม่ได้รอให้ใครวิ่งเข้ามาช่วยเลย ร่างที่ร่วงลงมาอย่างไร้การตรึกตรองนั้น กระแทกขอบตึกด้านล่างที่ยื่นออกมา เขาไม่เสียขีวิต แต่กระดูกสันหลังส่วนคอมันแตกและกดไขสันหลัง ร่างกายเขาจึงเป็นอัมพาตตลอดไป

ระทมจิตใจมาก

ครั้งหนึ่งผมรำพึงรำพันกับท่านผู้เฒ่า

“เบื่อ ทำไมจึงชอบมากระโดดตึกตายกันที่โรงพยาบาลนักหนา”

“ยังไงเขาก็กระโดด มากระโดดที่โรงพยาบาล ยังไงคนข้างหลังก็ยังลำบากน้อยกว่า” ท่านบอก

“ลำบากยังไงผมก็นึกไม่ออก ดูซิ ลำบากกันกี่คนต่อกี่คน ต้องจัดการศพ ต้องเขียนรายงาน ต้องแจ้งความ” ผมแสดงความเห็นแก่ตัวออกไป แต่นั่นมันคือความเดือดร้อนของโรงพยาบาลไงครับ ยังไม่ได้นับครอบครัวของเขาที่เดือดร้อนแน่ๆ

“แป๊ะลองคิดดู หากเขาไปกระโดดตึกที่โรงแรม ที่หอพักเอกชน ที่ห้างสรรพสินค้า คนลำบากคือชาวบ้าน คือเจ้าของกิจการ เขาต้องอยู่ต้องหากินกับสถานที่เขา หากมีคนไปกระโดดตึกตาย ความเสียหายมันมากกว่าที่แป๊ะบ่น” ผู้เฒ่าเตือนสติ

จริง

แล้วเขาควรไปกระโดดตึกตายกันที่ไหนดีล่ะ?

เอ๊า..เวรแล้วมั้ยล่ะ 

เอิ่ม..คือคนที่เค้าเป็นโรคซึมเศร้า ถ้าเขาไม่รักษา หากไม่ไปกระโดดตึกตาย ก็คงหาทางตายอย่างอื่นได้อยู่ดี 

ภาวะซึมเศร้า เป็นเรื่องของสารเคมีในหัวมันผิดปกติ กินยาก็รักษาได้ อย่ารีบตายกันเลย เพราะผมอยากจะบอกว่า มันไม่ได้หมดทุกข์กันได้จริงๆหลังตายหรอกนะ

“คุณหมอธนพันธ์ อากงของคุณหมอยังนอนอยู่ทึ่เดิมเลยนะ” ท่านชี้ไปยังตำแหน่งนั้น ซี่เหล็กขึ้นสนิมนั้นมันยังติดตาผม แม้ผ่านไปนานกว่า ๒๐ ปี ผมก็ยังจำอากงที่นอนคว่ำหน้าอยู่ตรงนั้นได้

“พ่อหนุ่มคนนั้นเขายังไปไหนไม่ได้หรอก เขามองอะไรไม่เห็น มันมืด มันทรมาน เขาหลุดพ้นจากเวรกรรมที่กระทำอัตวินิบาตไว้ไม่ได้” ท่านหยุดเดินเมื่อเรามาถึงสนามหญ้าแห่งนั้นพลางมองขึ้นไปยังอาคารด้านบน

“ผมว่ามันไม่ยุติธรรมเลยนะครับ ถ้าเวรกรรมมันนำให้คนมาฆ่าตัวตาย แล้วเวรกรรมก็วนเวียนอย่างไม่รู้จบแบบนี้” ผมแย้งใจในออกไปดังๆ

“เราจึงต้องเจริญสติไงคุณหมอ สติ ทำให้เราหยุด คิด และปฏิบัติดี” ท่านอธิบาย

.....................

ท้ายที่สุดนี้ ผมเพียงแต่อยากบอกว่า อย่าฆ่าตัวตายกันเลยครับ

มันเสียว 

ตายท่าไม่สวย

ตายไม่ดี

ตายไม่หมดทุกข์

และตายไม่ตาย

แต่ยังครับ ยังไม่หมด เพราะอย่างไรเสีย คนที่มีอาการซึมเศร้ารุนแรงก็มีแนวโน้มฆ่าตัวตายอยู่ดี ทั้งๆที่มันรักษาได้ มันป้องกันได้ (ไปรับการรักษาเถิด จะเกิดผล)

จึงมาถึงคำถามที่ผมโปรยไว้ข้างต้น

“แล้วจะไปตายที่ไหนดี?”

ผมก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะยังไม่เคยอยากตาย ไม่เคยลองพยายามฆ่าตัวตาย ผมกลัวความสูง แค่เข้าใกล้ริมขอบตึกก็เล่นเอาขาสั่น ผมไม่กล้าแขวนคอตาย กลัวหายใจลำบากทุรนทุราย เห็นคนไข้เฮือกๆแล้วนึกไม่ออกเลยว่ามันจะทรมานก่อนตายสักเท่าใด ผมไม่กล้ายิงปืนเข้าหัวตัวเอง วินาทีที่ต้องเหนี่ยวไกนี่มันบีบคั้นหัวใจยิ่งนัก ผมยังไม่กล้าพอ

แต่ถ้าจะให้เลือก ก็คงจะไปกระโดดเมนตายในวัดเสียยังจะดีกว่า คายแถวนั้นเพื่อนคงจะเยอะ 

ธนพันธ์ ชูบุญไอ้นกกระจอกเอ๊ย

๒๔ สค ๖๑

หมายเลขบันทึก: 650656เขียนเมื่อ 25 สิงหาคม 2018 10:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 สิงหาคม 2018 10:12 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

อ่านแล้ว เลิก คิด ..”อยาก ตาย” ..เพราะ ไง ๆ..ก็ต้อง ตาย กันอยู่แล้ว..๕๕๕๕…จริงมั้ยคะ คุณหมอ ..และ กระจอก ตัวนั้น….(อิอิ)

สงสารอากง บางครั้งเขายังมาช่วยคุณหมอเข้าเวรเลยคุณหมอไม่พบเขาบ้างหรือครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท