เช้าวันเสาร์ที่นัดหมายกันไว้ก็มาถึง สามสาวแต่งชุดไทยกันอย่างสง่างาม นิศราขับรถพาเพื่อนๆขึ้นทางด่วนสายอุดรรัถยาลงจากทางด่วนก็วิ่งไปตามถนนสายบางปะอิน-บางปะหัน สี่โมงเช้าก็ถึงวัดไชยวัฒนารามเป็นจุดแรก ตอนนี้อากาศยังไม่ร้อน แต่คนก็ดูหนาตาเพราะเป็นวันหยุด กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็ใช้เวลาพอสมควร สามสาวก้าวลงจากรถ ช่วยกันดูความเรียบร้อยของชุดที่แต่งให้แก่กันและกัน แล้วเดินเข้าไปข้างในอย่างมั่นใจ นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติหลายคนหันมามอง ด้วยต้องตาในความงามสง่าของสามสาว
นิศราดูจะคุ้นเคยกับวัดนี้กว่าใครๆเพราะเคยมาแล้วหลายหน จึงนำเพื่อนๆพาไปชมในจุดที่เป็นไฮไลท์ ผ่านจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง จุดใดที่มีมัคคุเทศก์แนะนำก็จะเข้าไปผสมโรงด้วย นิพาดาดูจะสนใจฟังเขาบรรยายมากกว่าใครๆ
จนมาถึงจุดหนึ่ง ก็สะดุดตากับกลุ่มเด็กวัยรุ่นทั้งหญิงและชายราวสิบกว่าคน ทุกคนแต่งชุดไทยย้อนยุคกันทั้งกลุ่ม กำลังรุมล้อมชายหนุ่มผิวขาวหน้าตาดี เหมือนพระเอกหนังจีนหรือเกาหลีปานนั้น ซึ่งกำลังอธิบายเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของวัดนี้เป็นภาษาไทยสลับภาษาจีน เวลาพูดภาษาไทยฟังแล้วชัดเหมือนคนไทยแท้ๆ สามสาวสบตากัน เดาว่าน่าจะเป็นไก๊ด์ทัวร์จากจีน แต่ขัดกับกลุ่มลูกทัวร์ที่ดูเหมือนเป็นคนไทยทั้งหมดและดูเป็นเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันด้วย รวมทั้งไก๊ด์ก็ไม่ได้ถือธงเหมือนไก๊ด์อื่นๆด้วย
ด้วยความอยากรู้ทั้งเรื่องที่เขากำลังบรรยายและสนใจคนเป็นไก๊ด์ด้วย จึงเข้าไปรวมในกลุ่มอย่างใกล้ชิด พอชายหนุ่มที่พวกเธอเข้าใจว่าเป็นไก๊ด์ เห็นสาวหน้าตาดีนอกกลุ่มเข้ามาก็แสดงท่าทีประหม่าเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเล่าเรื่องราวประวัติวัดไชยวัฒนารามต่อไป โดยเปลี่ยนบรรยายเป็นภาษาไทยมากขึ้น ดูเขามีความรู้ทางประวัติศาสตร์ไทยได้ลึกมาก แถมมีเกร็ดเรื่องเล่าสนุกๆมาเสริมทำให้ดูน่าสนใจมากขึ้น พอเขาเรียกตัวเองว่าครูและเรียกคนในกลุ่มว่านักเรียน สามสาวจึงเข้าใจแล้วว่าเขาไม่ใช่ไกด์ทัวร์ แต่คงเป็นครูสอนภาษาจีนในเมืองไทยแล้วพานักเรียนมาศึกษานอกสถานที่และสอนภาษาจีนไปด้วย
นิพาดาสนใจฟังเรื่องที่เขาบรรยายเป็นพิเศษจึงเข้าไปอยู่ใกล้ๆกว่าใครๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งเธอไม่ทันระวังตัวเผลอเดินสะดุดสิ่งกีดขวางเซถลาไปที่ครูจีน ดีที่เขารับไว้ได้ทัน พลันสายตาทั้งคู่ประสานกันครู่หนึ่ง เธอรู้สึกเขินอายและกล่าวขอโทษ ครูหนุ่มยิ้มให้ค่อยๆพยุงให้เธอยืนเข้าที่พร้อมกับบอกว่า
"ไม่เป็นไร พื้นไม่เรียบระวังหน่อยนะครับ" เธอเกิดความรู้สึกที่ประหลาดขณะที่เขาประคองและสบตากันเพียงชั่วแล่น ด้วยความเขินอาย เลยไม่กล้าอยู่สู้หน้ากับเขาต่อ จึงชวนเพื่อนๆเดินออกมาจากกลุ่ม เธอหันกลับไปมองเขาอีกครั้งขณะเดินพ้นออกมา และพบว่าครูจีนยังมองตามและยิ้มให้เธอไม่วางตา
เสร็จจากวัดไชยวัฒนารามเพื่อนๆก็พาไปวัดพุทไธสวรรค์ ชมเมืองโบราณ และไหว้พระที่วัดต่างๆอีกหลายวัด แต่ดูนิพาดาไม่ค่อยตื่นเต้นใส่ใจนัก เพื่อนๆสังเกตเห็นแต่ก็ไม่อยากซักไซ้ให้เพื่อนไม่สบายใจ จนบ่ายคล้อยจึงพากันเดินทางกลับกัน
นิศมาและกรนุชพอใจที่สามารถชักจูงให้นิพาดามาสนใจไปวัดไปวาได้ในระดับหนึ่ง แม้จะต้องใช้สิ่งจูงใจมาล่อก็ตาม เลยร่วมกันคิดวางแผนที่จะชวนนิพาดาให้ไปร่วมปฏิบัติธรรมในหลักสูตรพื้นฐานที่เข้มข้น 10 วันที่เธอเคยไปปฏิบัติมาแล้วหลายครั้ง ในช่วงปิดภาคเรียนแรกนี้ให้ได้ แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะใช้แผนอะไรดี เพราะรู้ดีว่า นิพาดาเป็นคนฉลาดถ้าไม่ชอบเธอจะไม่ไปเด็ดขาด คิดกันอยู่หลายวันจึงคิดออก ว่าครั้งนี้จะต้องเอาเรื่องไปเที่ยวสถานที่ที่สวยงามที่นิพาดาไม่เคยไป รวมทั้งสถานที่พักที่มีบรรยากาศดี มีโอกาสได้ทำใจให้สงบ มีอาหารการกินที่แปลกและอร่อยครบทุกมื้อที่เขาไม่เคยทานมาก่อนเป็นตัวล่อ และเข้าข้างตัวเองว่าข้อเสนอทั้งหมดไม่ใช่การหลอกเพื่อน เพียงแต่มีนัยแฝงอยู่เพื่อให้เพื่อนได้ไปทำในสิ่งที่เป็นบุญกุศลแก่ตัวเองคงไม่บาปหรอกน่า และจะต้องไม่กลัวเพื่อนโกรธด้วย
วันต่อมาทั้งสองคนก็เริ่มเดินตามแผนที่คิดกันไว้ บอกนิพาดาว่า
"ปิดเทอมนี้เราอยากชวนเธอขึ้นเครื่องไปเที่ยวนครศรีธรรมราชกันสักสิบกว่าวัน ไปพักกันที่หมู่บ้านคีรีวง อำเภอพรหมคิรีที่ได้ชื่อว่าอากาศดีที่สุดในประเทศไทย และจะไปเที่ยวอีกหลายแห่ง จะได้ไปพักผ่อนทั้งกายและใจ ทำใจให้สงบอย่างเต็มที่ยาวไปเลยเธอจะโอเคไหม" พร้อมทั้งเก็บภาพสวยๆที่คีรีวงมาเปิดให้เพื่อนดูด้วย
นิพาดาได้ยินก็ตาโตเพราะเคยเปิดเน็ตดู สนใจอยากไปมานานแล้ว เลยบอกโอเคแบบไม่ต้องคิดทันที โดยไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้างในทริปนี้ ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวในทริปที่ถูกใจ นิพาดารีบชวนเพื่อนๆไปขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่ด้วยกันทันที
ที่จริงทั้งสองคนแอบไปหารือคุณพ่อคุณแม่นิพาดามาก่อนแล้ว ซึ่งท่านก็เห็นด้วย อยากให้นิพาดาหันมาศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังมานานแล้ว และไว้วางใจเพื่อนสองคนนี้อยู่ด้วย แต่ก็ยังหวาดๆว่านิพาดาจะยอมไปด้วยหรือไม่และจะไปได้ตลอดรอดฝั่งรึเปล่า พอเห็นนิพาดามาขออนุญาตพร้อมเพื่อนๆจึงไม่ขัดและลอบยิ้มให้สองสาวอย่างพอใจ
นิศมาดำเนินการทุกอย่างให้อย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งการส่งใบสมัครเข้ารับการอบรมปฏิบัติธรรมหลักสูตร 10 วัน การจองตั๋วเครื่องบินไปกลับของทุกคนในราคาโปรโมชั่นพิเศษ การติดต่อกับเพื่อนสนิทชื่อนงชนกที่ไปทำรีสอร์ทกับครอบครัวที่บ้านคีรีวง ให้มารับที่สนามบินก่อนวันเข้าอบรมปฏิบัติธรรม 1 วัน เพื่อให้ไปพักที่รีสอร์ทของเพื่อนสักคืน และพาเที่ยวให้ตายใจ รวมทั้งการช่วยนิพาดาจัดเตรียมเสื้อผ้าของใช้ที่จำเป็นในการเดินทางเพื่อไปเที่ยวและไปปฏิบัติธรรมตามกฏกติกาของศูนย์ปฏิบัติธรรมด้วย ซึ่งนิพาดาแม้จะรู้สึกว่าดูแปลกๆเหมือนเพื่อนมีลับลมคมในอะไรหลายอย่าง ทั้งเรื่องเสื้อผ้าก็ไม่ให้ใช้สีฉูดฉาดดูมิดชิดและใส่สบาย เวลาถามรายละเอียดเพื่อนก็จะบอกอย่างคลุมเครือว่าให้เหมาะกับบรรยากาศที่นั่น นิพาดาเชื่อใจเพื่อนอยู่แล้ว เมื่อเพื่อนบอกให้ทำอะไรก็ทำตามทุกอย่าง
เช้าวันนัดหมาย ทั้งสามสาวไปถึงสนามบินดอนเมืองก่อนเวลาเครื่องออกร่วมชั่วโมงครึ่ง พอเช็คอินเสร็จก็เข้าไปข้างในเพื่อนั่งรอที่ประตูทางออกขึ้นเครื่องไปนครศรีธรรมราช ขณะยืนเก้ๆกังๆเพื่อหาที่นั่งที่ว่างอยู่นั้น ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนยิ้มเผล่และโค้งศีรษะพร้อมกล่าวสวัสดีทักทาย เห็นปุ๊บก็จำได้ทันทีว่าเป็นไก๊ด์ครูจีนที่เจอในวัดไชยวัฒนาราม ดูชายหนุ่มตื่นเต้นและดีใจที่ได้เจอสามสาว โดยเฉพาะคนพิเศษที่เขาหันมายิ้มให้คือนิพาดา เขามองเธอไม่วางตา นิพาดายิ้มตอบให้เขาและรู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน แต่ก็พยายามเก็บอาการไม่ให้เป็นที่สังเกตของเพื่อน
ชายหนุ่มกุลีกุจอหาที่นั่งให้ทั้งสามสาว แล้วตัวเองก็ลงนั่งใกล้ๆกับนิพาดาด้วยกิริยาที่สุภาพ ให้เกียรติ พร้อมแนะนำตัวว่าชื่อธรรศ การสนทนาเริ่มขึ้น ต่างแนะนำกันไปแนะนำกันมา จนเกิดความคุ้นเคยกันมากขึ้น ทั้งสามสาวสนใจอยากรู้จักธรรศมากกว่านี้ จึงพยายามป้อมคำถามถามเขาลงไปถึงเรื่องส่วนตัว ธรรศเองก็ไม่มีอะไรจะปิดบัง จึงเริ่มเล่าเรื่องราวชีวิตของตนให้ทุกคนฟังว่า
เขาเป็นลูกครึ่งพ่อเป็นคนจีนชื่อหย่งจื้อมาทำงานเกี่ยวกับการค้าที่เมืองไทย มาเจอกับแม่ที่เป็นคนไทยชื่อธัญพรซึ่งขายผลไม้ที่ตลาดท่าน้ำนนทบุรี เกิดชอบพอกับแม่เลยแวะเวียนมาซื้อผลไม้บ่อยๆ ในที่สุดแม่ก็ใจอ่อนยอมแต่งงานด้วยและมีลูกคนเดียวคือเขานี่แหละ เขาเกิดเมืองไทยเลยได้สัญชาติไทยแม่ตั้งชื่อเป็นไทยว่าธรรศที่แปลว่าความกล้าหาญให้ความหมายสอดคล้องกับชื่อพ่อและชื่อภาษาจีนที่พ่อตั้งให้ว่าหย่งฉี พ่อต้องไปๆมาๆระหว่างเมืองไทยกับเมืองจีน บ้านพ่อที่เมืองจีนอยู่ที่ปักกิ่ง เดิมเคยอยู่ที่ซัวเถา แต่อพยพมาทำมาหากินที่เมืองหลวง เขามีญาติที่อพยพมาอยู่ที่เมืองไทยตั้งแต่สมัยก่อน มีลูกมีหลานแซ่เดียวกันหลายคน ยังไปมาหาสู่กันอยู่
ธรรศอยู่กับแม่ ตากับยายและน้าสาวชื่อธิติมา ที่บ้านสวนนนทบุรี ซึ่งยังรักษาความเป็นสวนเหลืออยู่ แม่ไม่ยอมขายที่เหมือนชาวสวนคนอื่นๆ ซึ่งตอนนี้รอบๆบ้านกลายเป็นบ้านจัดสรรและตึกรามบ้านช่องสมัยใหม่กันหมดแล้ว มีปีหนึ่งเกิดน้ำท่วมใหญ่เพราะน้ำไม่มีทางไหลผ่าน ทำให้สวนผลไม้ที่บ้านตายเกือบหมด แต่พวกเขาก็ช่วยกันพลิกฟื้นปลูกขึ้นมาใหม่จนตอนนี้ให้ผลเก็บขายได้แล้วแต่ก็ไม่สมบูรณ์เหมือนสวนรุ่นเก่า โดยเฉพาะทุเรียนปลูกใหม่ก็ไม่ค่อยงอกงาม พื้นที่สวนที่บ้านก็มีแค่สองไร่กว่าๆ แต่ที่บ้านก็ปลูกพืชหลายชนิด ทั้งพืชผักสวนครัวหมุนเวียนกันไป สามารถนำมาบริโภคเลี้ยงชีวิตแบ่งปันให้เพื่อนบ้านและนำไปขายที่ตลาดท่าน้ำนนทบุรีได้ตลอดปี ว่างๆก็อยากเชิญทั้งสามคนไปเที่ยวบ้านสวนของเขาบ้าง สามสาวต่างสนใจและตอบตกลงว่าจะหาเวลาไปเที่ยวที่บ้านเขาให้ได้
ธรรศเล่าต่ออีกว่า ครอบครัวเขามีความศรัทธา เห็นคุณค่าในปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างแท้จริง โดยนำแนวปรัชญามาใช้ในงานสวนและในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่องทำให้ชีวิตความเป็นอยู่สุขสบาย พอมีพอกิน ไม่ขัดสน
ธรรศเรียนหนังสือที่เมืองไทย แต่ช่วงปิดภาคเรียนพ่อจะพาไปอยู่ที่บ้านพ่อที่ปักกิ่งเพื่อเรียนภาษาจีนเพิ่มเติม ธรรศจึงสื่อสารได้ดีทั้งภาษาไทยและภาษาจีน พอจบมัธยมก็เรียนต่อคณะมนุษยศาสตร์ จบหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาตะวันออก วิชาเอกภาษาจีน โดยเน้นเรียนด้านประวัติศาสตร์ด้วย เพิ่งจบได้ปีกว่าๆ เลยออกมาเป็นครูอัตราจ้างที่โรงเรียนมัธยมที่เปิดสอนสองภาษาไปพลางๆก่อน คิดว่าปีหน้าจะไปสอบบรรจุเป็นครูจริงๆเสียที ตอนนี้ที่โรงเรียนให้สอนภาษาจีนและประวัติศาสตร์เป็นภาษาจีนอีกวิชาหนึ่ง เลยถือโอกาสสมัครเป็นไก๊ด์หารายได้พิเศษในวันหยุด บางทีก็จะพานักเรียนไปศึกษานอกสถานที่บ้าง จึงได้เจอกันที่วัดไชยวัฒนารามนั่นแหละ เขาดีใจมากจริงๆที่ได้มาเจอกันอีกครั้ง
เขาเล่าให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง ทำให้สามสาวรู้สึกคุ้นเคยและชื่นชมเขามากขึ้น ฟังจากที่เขาเล่าแสดงว่าเขาเป็นรุ่นพี่หนึ่งปีของทั้งสามคน ทั้งสามสาวจึงขออนุญาตเรียกเขาว่าพี่ธรรศ
เหลือเวลาไม่กี่นาทีทางสนามบินก็จะเรียกขึ้นเครื่องแล้ว นิพาดาและกรนุชจึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน นิศมาเลยฉวยโอกาสนี้ถามธรรศว่าจะไปนครศรีธรรมราชทำไม ก็ได้รับคำตอบว่าจะไปปฏิบัติธรรมหลักสูตร 10 วันเช่นเดียวกับพวกตน นิศมาเลยเล่าให้ฟังถึงแผนการชักจูงให้นิพาดามาปฏิบัติธรรมโดยใช้เรื่องการท่องเที่ยวและการไปพักผ่อนทำใจให้สงบมาจูงใจ โดยตนเองกับกรนุชไปอบรมมาหลายรอบแล้ว จึงขอร้องธรรศว่าอย่าเพิ่งพูดเรื่องไปปฏิบัติธรรมกับนิพาดา จนกว่าเธอจะเจอเหตุการณ์ด้วยตนเอง ธรรศรับปาก และบอกว่าตนเองก็เข้าอบรมมาหลายรอบแล้วเหมือนกัน แต่จะไปในจังหวัดไม่ไกลนัก ยังไม่เคยไปนครศรีธรรมราชจึงอยากไปเที่ยวด้วย ทราบว่ามีที่เที่ยวสวยๆหลายที่จึงเดินทางมาก่อนวันอบรมวันหนึ่ง ว่าจะไปพักในตัวเมืองแล้วหารถไปเที่ยวสักวัน
นิศมาเล่าถึงโปรแกรมของตนเองว่าจะไปพักที่รีสอร์ทของเพื่อนที่หมู่บ้านคีรีวงที่เขาว่าอากาศดีที่สุดในประเทศไทย เลยชวนธรรศให้ไปพักและไปเที่ยวด้วยกัน ธรรศเองก็อยากไปที่นั่นมากๆเพราะเคยเปิดเน็ตดู แต่ก็รู้สึกเกรงใจ พอดีนิพาดาและกรนุชกลับมาได้ยินการชักชวนของนิศมา ทั้งสองคนจึงช่วยกันคะยั้นคะยอให้ธรรศไปด้วยกันอีกสองแรง
ธรรศจึงตกลงและกล่าวขอบคุณทุกคนอย่างมาก โดยจะขอร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดด้วย
----------------------------
ไม่มีความเห็น