“สวัสดีครับ/ค่ะ...คุณครู”
เสียงนักเรียนกล่าวแสดงความเคารพครูสาวคนใหม่ ขณะเจ้าหล่อนถือหนังสือเรียน เดินตัวเกร็งเข้ามาในห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยชุดแต่งกายสีฉูดฉาดทันสมัย ดูรูปร่างหน้าตา การแต่งกายของหล่อนน่าจะเป็นนางงามเสียมากกว่าคุณครูที่จะมาสอนวิชาพระพุทธศาสนา “คุณครูสวยจัง” นักเรียนหลังห้องคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา อีกหลายคนพูดคล้อยตาม
“สวยจริงๆด้วย เหมือนดาราเลย” นักเรียนทั้งห้องยิ้ม และมองเธอไม่วางตา
“เอายังไงดีเรา” เธอคิดในใจ เพราะเธอเองก็ยังนึกเทคนิคการสอนที่เหมาะสมไม่ได้เลย ช่างเป็นความยากลำบากใจและขาดความมั่นใจในการสอนกระไรเช่นนี้ พอนักเรียนยิ้มให้ ช่วยเพิ่มกำลังใจให้เธอมากขึ้น เมื่อนักเรียนทั้งชายและหญิงร่วม 40 คนกล่าวแสดงความเคารพเสร็จแล้วนั่งลง เธอก็ยิ้มให้กับพวกเขาเป็นการผูกมิตรเบื้องต้น ภาวนาในใจว่า
“ขอให้เราเป็นมิตรที่ดีต่อกันเถอะนะ”
เหมือนกับคำภาวนาของเธอจะได้ผล นักเรียนทุกคนต่างนั่งเงียบ เรียบร้อย ยิ้มให้คุณครู และมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่วางตา พวกเขาคงตื่นเต้นและรอคอยที่จะได้เจอกับครูคนใหม่ ที่โรงเรียนบอกว่าจะเป็นครูที่สาวและสวยมาสอนแทนครูคนเก่า ซึ่งแต่เดิมบางชั่วโมงก็มีพระมาสอนสลับบ้าง เขาก็คงจะเบื่อเรียนวิชานี้เหมือนกับเธอตอนเป็นเด็กเช่นกัน เธอเริ่มไม่เข้าใจว่า
"เขาอยากเจอเราหรืออยากเรียนกับเรากันแน่" แต่จะยังไงก็เถอะขอให้สถานการณ์นี้เป็นประโยชน์ต่อเธอให้ไปตลอดรอดฝั่งก็พอ กำลังใจเธอเริ่มมาแล้ว จึงเริ่มต้นด้วยการกล่าวทักทาย แนะนำตัว แนะนำวิธีเรียนวิธีสอน และการวัดผลประเมินผลกันก่อน จากนั้นจึงชวนนักเรียนคุยเพื่อความเป็นกันเองในเบื้องต้นก่อนจะเข้าสู่บทเรียน เรื่องแรกที่เธอเริ่มสอนก็คือเรื่องพุทธประวัติ เธอก็ให้นักเรียนเปิดหนังสือเรียนและเริ่มบรรยายเล่าเรื่องราวเหมือนกับที่เคยเรียนกับครูในตอนเด็ก เด็กๆก็ทำตามอย่างว่าง่าย มือก็เปิดหนังสือตาไม่ได้มองหนังสือหรอก แต่ตาจับจ้องมาที่ครู คงนึกในใจว่า ครูสวยจัง ครูแต่งตัวน่ารักจัง มากกว่าฟังเนื้อหาที่ครูสอน
ชั่วโมงแรกก็ผ่านพ้นไปด้วยดี มีกำลังใจขึ้นเป็นกอง มีรูปเป็นคุณก็ดีไปอย่าง แต่ยังวิตกว่าชั่วโมงต่อๆไปถ้าเขาเริ่มเบื่อเธอจะทำยังไงดี เรามิต้องหาชุดสวยๆ แต่งหน้าแต่งผมให้สวยๆ ไม่ซ้ำแบบกันทุกชั่วโมงรึกระมัง นึกในใจว่า เราต้องทำให้เขาสนใจเรียนหนังสือมากกว่าที่จะสนใจตัวเราให้ได้ ไม่งั้นเสียสถาบันที่จบออกมาหมด
เย็นวันนั้น พอเธอก้าวเข้าบ้าน ด้วยอาการอิดโรย ราวกับเพิ่งไปสมบุกสมบันกับงานที่หนักหนาสาหัสมาปานนั้น คุณแม่ก็ถามด้วยความห่วงใยลูก
"ไปสอนวันแรกเป็นยังไงบ้างนิ" “ไม่รู้นิจะไหวรึเปล่าคะคุณแม่” เธอตอบด้วยสุ้มเสียงที่ท้อถอย
“สู้ๆนะลูก นิของแม่เก่งอยู่แล้ว” แม่พยายามพูดให้กำลังใจลูกสาว
นิพาดา เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีครุศาสตร์ เอกคณิตศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศมาหมาดๆ เธอเป็นบุตรสาวคนเดียวของคุณพ่อชนาธิปอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย กับคุณแม่สรวงสุดาครูโรงเรียนมัธยมในกรุงเทพมหานคร แม้ฐานะทางครอบครัวจะไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากนัก แต่ก็เป็นแบบอย่างของครอบครัวข้าราชการครูที่มีความรัก ความผูกพันกันตามสังคมยุคใหม่ได้อย่างดีในระดับหนึ่ง
ระหว่างนิพาดากำลังรอเตรียมตัวสอบบรรจุเป็นครูอยู่นั้น คุณป้านุชจรีย์พี่สาวของคุณแม่ที่เป็นเจ้าของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง มีปัญหาครูคนหนึ่งลาออกกระทันหัน จึงขาดครูผู้สอน และใกล้จะเปิดภาคเรียนแล้ว ป้านุชจรีย์จึงมาขอร้องคุณแม่ ขอให้นิพาดาไปช่วยสอนขัดตาทัพไปก่อนสักเทอมหรือสองเทอมก่อนที่จะได้ครูคนใหม่เข้ามา คุณแม่สงสารคุณป้าจึงขอให้นิพาดาไปช่วยคุณป้าสักระยะ เธอเองก็ไม่อยากขัดใจคุณป้าและคุณแม่ จึงต้องยอมจำนน ถือว่าเป็นการฝึกสอนล่วงหน้าอีกรอบก่อนเป็นครูจริงๆก็แล้วกัน โดยยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณป้าจะให้ไปสอนวิชาอะไร
พอทราบว่าจะให้ไปสอนวิชาพระพุทธศาสนา ในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และนักเรียนที่นี่ก็เป็นเด็กทั่วๆไป ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กเรียนอ่อนจนถึงระดับปานกลาง เธอก็แทบลมจับ เพราะเป็นวิชาที่เธอเบื่อที่สุด ถ้าเป็นวิชาคณิตศาสตร์ก็คงจะดี แต่คงกลับลำไม่ทันแล้ว เลยต้องตกกระไดพลอยโจน และคิดว่าอดทนไปหน่อยเถอะอีกไม่นานก็คงผ่านพ้นไป แต่การเริ่มต้นนี่สิช่างยากลำบากใจจัง
มีเวลาอีกไม่นานก็จะเปิดเทอมแล้ว เธอจึงเริ่มไปแสวงหาความรู้เกี่ยวกับหลักสูตรและหนังสือเรียน อาศัยที่เรียนมาทางครูจึงไม่หนักหนาอะไรนัก จะหนักใจก็ตรงเนื้อหาและวิธีสอนนี่แหละ แม้ตัวเองจะได้ชื่อว่านับถือศาสนาพุทธ แต่ก็คงเหมือนชาวพุทธในสมัยใหม่ทั่วๆไปหลายๆคน ที่นับถือกันเพียงในนาม ตัวเธอเองตั้งแต่เด็กก็แค่ตามคุณพ่อคุณแม่ไปวัดทำบุญใส่บาตรในบางโอกาส เวลาฟังพระเทศน์นานๆก็เหน็บกิน เบื่อจะแย่ ถูกคุณแม่บังคับให้สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิก็ทำไปยังงั้นๆ จึงถูกคุณแม่เอ็ดเอาบ่อยๆ ตอนเรียนที่โรงเรียนก็เบื่อวิชานี้ที่สุด ครูให้นั่งสมาธิแค่ไม่เกินห้านาทีก็ปวดขาเหน็บจะกิน นึกในใจว่าเมื่อไรจะหมดเวลาเสียที
" กรรมคงตามสนองแล้วเรา" เธอคิด
นิศมาและกรนุช เป็นเพื่อนสนิทของนิพาดาตอนเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนสองคนนี้เป็นคนที่มีกิริยาวาจาดีและแต่งกายสุภาพเรียบร้อย ทั้งสองคนพอมีเวลาว่างก็จะชวนกันไปปฏิบัติธรรมอยู่บ่อยๆ จนเพื่อนๆเรียกพวกเธอกันว่าแม่ชี แต่เธอก็สามารถวางตัวคบหาสมาคมกับเพื่อนๆทุกคนได้อย่างเป็นปกติ เธอจะขอตัวทุกครั้งที่เพื่อนๆชวนไปช้อบปิ้ง สรวลเสเฮฮา โดยไม่ได้ตำหนิในการกระทำของเพื่อนๆแต่อย่างใด เป็นการแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่างได้อย่างไม่ขัดแย้งกัน ผิดกับนิพาดาที่ตอนเรียนเธอจะมีกลุ่มเพื่อนหลายกลุ่มทั้งหญิงและชาย เพื่อนกลุ่มสายรื่นเริงบันเทิงใจของเธอที่คบหากันมาค่อนข้างสนิท ในกลุ่มเพื่อนหญิงก็มี ขวัญหทัย ชรัมพร กนกอร และกลุ่มเพื่อนชายที่พยายามเข้ามาตีสนิทเธอผ่านทางกลุ่มเพื่อนหญิงก็มีหลายคน เนื่องจากนิพาดาเป็นคนหน้าตาดี และนิสัยดีด้วยจึงเป็นที่หมายปองของเพื่อนชายที่อยากเข้ามาตีสนิท
โดยเฉพาะ ชัชพงศ์ ลูกชายนักธุรกิจในระดับเศรษฐีที่เป็นนักศึกษาต่างสถาบัน ซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนในกลุ่มนี้ คือธนกฤต จะพยายามอาศัยกลุ่มเพื่อนเข้ามาตามจีบเธออย่างออกนอกหน้าเป็นพิเศษ โดยมีโปรแกรมจูงใจเสนอผ่านทางกลุ่มเพื่อนชายและเพื่อนหญิงบ่อยๆ เช่น ขับรถไปส่ง พาไปเลี้ยงอาหาร มอบของขวัญในโอกาสพิเศษต่างๆ หรือพาไปช้อปปิ้ง เป็นต้น แต่นิพาดาก็คบด้วยในฐานะเพื่อนคนหนึ่งตามมารยาทเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจกัน บ่อยครั้งที่เธอรู้สึกอึดอัดที่ถูกเซ้าซี้ชักชวน ถ้าขัดไม่ได้จริงๆก็จะยอมไปด้วย แต่ต้องไปกันเป็นกลุ่ม ไม่เปิดโอกาสให้ไปกันสองต่อสอง ซึ่งเรื่องการคบเพื่อนนี้ คุณพ่อคุณแม่จะให้อิสระแก่ลูก แต่จะคอยเตือนสติให้รู้จักวางตัวอย่างเหมาะสม คุณพ่อคุณแม่สอนเสมอว่า ชีวิตของคนเราจะต้องเจอและคบหากับผู้คนมากมายทุกระดับ แต่ต้องระลึกเสมอว่า อะไรควรอะไรไม่ควร และต้องมีทักษะชีวิตให้สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัยและมีคุณค่า โดยเพื่อนๆทุกกลุ่มจะเคยมาที่บ้านเธอ ได้เจอกับคุณพ่อคุณแม่ของนิพาดากันทุกคน
คุณพ่อคุณแม่ออกจะวางใจและชื่นชมนิศมาและกรนุช เป็นพิเศษกว่าใครๆ สองคนนี้จึงไปมาหาสู่ที่บ้านของเธอบ่อยๆ จนเหมือนเป็นลูกสาวจริงๆของคุณพ่อคุณแม่ไปด้วย
เมื่อเรียนจบนิศมาก็ไปทำงานในมูลนิธิส่งเสริมการวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งญาติผู้ใหญ่ของเธอชักชวนไปร่วมทำงาน และถือโอกาสได้ปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาไปด้วย ส่วนกรนุชก็รอสมัครสอบบรรจุเป็นครูเช่นเดียวกับนิพาดา ระหว่างที่รอการสอบบรรจุ นิศมาเลยชวนให้กรนุชมาช่วยทำงานที่มูลนิธิฯไปพลางๆก่อน และได้ปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาด้วยกันเป็นประจำ
พอนิศมาและกรนุชได้ข่าวว่านิพาดาต้องถูกให้ไปสอนวิชาพระพุทธศาสนาก็แทบขำกลิ้ง แต่ก็รู้สึกดีและหวังว่าจะเป็นบุญกุศลให้เธอมีโอกาสได้รื้อฟื้นซึมซับคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มากขึ้น จึงเข้ามาเยี่ยมให้กำลังใจแก่เพื่อนบ่อยๆ และพยายามคิดหากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวทางพุทธศาสนาหรือทางประวัติศาสตร์ที่นิพาดาชอบมาชักจูงและชักชวนให้เธอเข้าร่วมด้วยความสมัครใจ แต่กระนั้นก็ยังได้รับการผัดผ่อนจากนิพาดาเรื่อยมา
จนเมื่อกระแสละครเรื่องบุพเพสันนิวาสดังกระหึ่มไปทั่วเมือง พวกเธอจึงอาศัยกระแสนิยมนี้ชวนนิพาดาแต่งกายชุดไทยแบบย้อนยุค ตามรอยแม่การะเกดในเรื่องบุพเพสันนิวาสไปชมกรุงเก่ากัน โดยเสนอสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของโปรแกรมเพื่อจูงใจ แบบรู้ใจเพื่อนคือวัดไชยวัฒนาราม นิพาดาตื่นเต้นและตกลงที่จะไปกับโปรแกรมนี้ทันที โดยนัดหมายกันว่าจะไปในวันหยุดสัปดาห์หน้า และนิศมาอาสาจะเป็นโชเฟอร์ขับรถพาไปเที่ยวชมในครั้งนี้ด้วย
พอไปขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่ ท่านก็ตกลงทันทีเพราะไว้วางใจเพื่อนสองคนนี้อยู่แล้ว
ทั้งสามคนตื่นเต้นกับการไปหาเช่าชุดไทยแบบย้อนยุคสวยๆกัน จนได้ชุดที่ลองสวมแล้วพอใจกันทุกคน
ไม่มีความเห็น