“ไม่หวังผลตอบแทน”ปฏิสัมพันธ์แห่งความสุข


อีกใจก็เถียงตัวเองตลอด จะมองแค่เหมือนชีวิตทั่วๆไป เหมือนพืช เหมือนสัตว์ เหมือนจุลินทรีย์แค่นั้น? ก็ไหนว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มีสมองดี มีเหตุผลกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น

ปฏิสัมพันธ์คนเราทุกวันนี้ นับวันมีแต่ผลประโยชน์ “ประโยชน์หมดความสัมพันธ์อาจสิ้นสุด” ที่มาหาหรือถามไถ่ล้วนมีเป้าหมาย ไม่อย่างนั้นก็ไม่เห็นหัวเห็นหน้า มิได้หมายถึงนักการเมืองที่กำลังจะมีการเลือกตั้งเท่านั้น ขานั้นเขาประจำอยู่แล้ว(ฮา)

หลายคนอาจเคยประสบ แม้แต่เพื่อนสนิทหรือเพื่อนร่วมชั้นเมื่อเด็กๆหรือวัยรุ่น วัยที่เพื่อนมีอิทธิพลทางความคิดกว่าพ่อแม่ ถ้าไม่มีประโยชน์ให้ ไม่มีฐานะ หน้าตา อำนาจ หรือเงินทอง ที่จะช่วยเสริมบารมี หรือดลบันดาลโน่นนี่ หากไม่ใช่งานเลี้ยงรุ่นหรืออยู่ในหมู่เพื่อน บางทีแสร้งไม่รู้จักด้วยซ้ำ

ชีวิตคนแล้วแต่พรหมลิขิต บางคนแม้แต่โอกาสแข่งขันยังไม่มี เนื่องด้วยความไม่พร้อมของครอบครัว สังคมมือใครยาวสาวได้สาวเอาทุกวันนี้ คนไม่รู้หรือคนจนเสียเปรียบร่ำไป ไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่ต่างพากันฉกฉวยช่วงชิง คนรู้หรือคนที่รวยกว่ามักได้รับโอกาสนั้นก่อน หลายคนทำแทบตายก็ไม่สำเร็จ ไม่สามารถขยับตัวเองไปอยู่ในจุดที่ได้รับการยกย่องหรือยอมรับ ร่ำรวย มีอำนาจ ตำแหน่งแห่งหนใหญ่โต ไปไหนมาไหนมีแต่ผู้คนต้อนหน้าต้อนหลัง ค่านิยมสังคมปัจจุบัน ต้องการคนที่มีรูปพรรณสัณฐานเช่นนี้..

ตลอดชีวิตการทำงานเพิ่งเจอ เมื่อหลายปีก่อนประหลาดใจกับการพบเด็กผู้เป็นศิษย์ในวัยสดใสมีลักษณะตามแบบที่กล่าวมา พยายามทำหรือพูดจากับครู อย่างที่เรารู้สึกไม่เหมือนเด็กคนอื่น ตัวตนที่แท้จริงขณะอยู่กับเพื่อนหรือจากหลายปากคำไม่ใช่เขาอย่างที่เราเห็น แค่การเอาอกเอาใจหวังประโยชน์ ด้วยความไร้เดียงสา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการกระทำเช่นนี้ มักไม่พบในเด็กทั่วๆไป คงแค่เข้าใจว่า ทำหรือพูดอย่างนี้ครูจะชอบ

ช่วงนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก นึกอยู่อย่าง คงเรียนรู้มาจากผู้ใหญ่ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง หรือครอบครัว บางคนนึกสงสัย “เด็กย่อมเอาใจครูให้ได้คะแนนดีๆอยู่แล้ว..” แต่ที่เจอครั้งแรกนั้นไม่ใช่กรณีนี้แน่ ปกติเด็กๆยิ่งเป็นศิษย์เป็นครูกัน ยิ่งจะใสซื่อไม่ว่าวัยใด แม้แต่ตัวโตม.ปลาย ลึกๆแล้วก็ยังเด็ก ให้ทำท่าเลียนแบบผู้ใหญ่ขนาดไหนก็ตาม สังเกตสักนิดจะเห็นความเป็นเด็กของเขาเสมอ ปฏิสัมพันธ์กับครูแบบที่ไม่ใช่ตัวเองจริงๆ ร้อยทั้งร้อยไม่เคยพบในเด็กๆผู้เป็นลูกศิษย์มาก่อน

ในทางตรงกันข้าม สำหรับสังคมผู้ใหญ่ พฤติกรรมเช่นนี้เห็นได้อยู่เนืองๆ กระทั่งบางคนแดกดัน “สังคมสวมหน้ากาก ความสัมพันธ์จอมปลอม เกี่ยวข้องกันด้วยผลประโยชน์เท่านั้น” ถ้ามองเชิงวิวัฒนาการตามทฤษฏีการคัดเลือกโดยธรรมชาติของชาลส์ ดาร์วิน นี่อาจจะเหมาะกับการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมปัจจุบันมากกว่าก็ได้ เพราะนับวันสปีชีส์นี้ยิ่งเพิ่มขึ้น(ฮา) ไม่อาจสรุปได้ดอก ว่าถูกหรือผิด ใช่หรือไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับความคิดและประสบการณ์ของแต่ละคนมากกว่า

ระยะหลังแม้จะยังคงมีจำนวนน้อยนิด แต่ก็มากขึ้น ปัจจุบันพบเด็กๆที่มีปฏิสัมพันธ์กับครูแบบไม่ใช่ตัวเองจริงๆมากขึ้นจนไม่ประหลาดใจเหมือนก่อน แม้จะเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นทุกเวลา ทำให้ทุกชีวิตต้องปรับตัว เพื่อให้เข้าได้หรือทันต่อการเปลี่ยนแปลง ไม่เช่นนั้นสายพันธุ์ตัวเองอาจไม่สามารถคงเผ่าพันธุ์(ฮา)

อีกใจก็เถียงตัวเองตลอด จะมองแค่เหมือนชีวิตทั่วๆไป เหมือนพืช เหมือนสัตว์ เหมือนจุลินทรีย์แค่นั้น? ก็ไหนว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มีสมองดี มีเหตุผลกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น มีคุณธรรมจริยธรรม รวมถึงมีศีลธรรมจรรยาตามหลักธรรมของศาสนา

มองอีกด้านปฏิสัมพันธ์แบบไม่มีผลประโยชน์ ไม่แสดงถึงจิตใจที่เรียนรู้และพัฒนากว่าดอกหรือ? ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ว่าไว้ลักษณะนี้ ทำโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจะนำไปสู่ความสบายใจ โปร่งโล่ง จากความไม่ยึดติด ปราศจากเงื่อนไข ไม่สนใจประโยชน์อันพึงมีพึงได้ เมื่อหลุดจากผู้ก่อการกิเลสทั้งหลายเสียแล้ว จิตใจย่อมพบแต่ความสุข

พิจารณาไตร่ตรองเรื่องนี้ เผื่อเอาไว้คุยกับเด็กๆบางคนครับ ว่าคิดและทำตามแบบของตัวเองดีกว่า เสน่ห์ความน่ารักวัยเรา อยู่ที่ความใสซื่อ ความบริสุทธิ์ หรือความไร้เดียงสาต่างหาก

พฤติกรรมผู้ใหญ่ที่เห็นจนชินตาและคิดว่าดี อาจไม่ใช่ก็ได้..

หมายเลขบันทึก: 649055เขียนเมื่อ 21 กรกฎาคม 2018 00:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 กรกฎาคม 2018 13:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท