คำสอนของหลวงตา วัดเขาวง”ถ้ำนารายณ์” สระบุรี


(บันทึกเมื่อ 31 พ.ค. 2561)

          วันวิสาขบูชาปีนี้  ครอบครัวเราได้ไปพักค้างคืนที่วัดเขาวง “ถ้ำนารายณ์” อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี   มีโอกาสได้รักษาศีล สวดมนต์ นั่งสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน  ฟังธรรมเทศนา ทำบุญ ใส่บาตร  เวียนเทียนรอบพระอุโบสถ  และยังได้ปฏิบัติสมาธิภาวนาด้วยการกวาดลานวัดกับหลวงตา(เจ้าอาวาส)ในตอนเช้าด้วย
     เรื่องที่ผมอยากจะเล่าในวันนี้เป็นพิเศษคือ คำสอนของหลวงตาเรื่อง “การกวาดลานวัด”  โดยผมเคยมาพักที่วัดนี้หลายครั้ง  ทุกเช้าจะเห็นหลวงตาถือไม้กวาด กวาดลานวัดอย่างเงียบสงบ บางครั้งก็จะเห็นบางคนไปแย่งไม้กวาดท่านเพื่อจะเข้าไปกวาดแทน  แต่ท่านจะโบกมือห้ามไว้  และชี้ให้ไปกวาดที่อื่นที่ยังมีใบไม้ร่วงอยู่บนพื้น
         เช้านี้ขณะที่ท่านกำลังกวาดใบไม้อยู่รูปเดียวไปตามแนวถนนที่มุ่งตรงสู่วิหารพระพุทธรูป และองค์สมเด็จพระนารายณ์  โดยมีญาติโยมอีกหลายกลุ่มร่วมกันกวาดในบริเวณอื่นๆทั่วทั้งวัด  ผมเห็นแนวถนนที่หลวงตากวาดเป็นบริเวณกว้าง  จึงถือไม้กวาดและที่ตักใบไม้ไปแบ่งกวาดอีกซีกถนนหนึ่งเคียงคู่กับท่านไปพอกวาดไปได้สักระยะหนึ่ง  หลวงตาก็หยุดและหันมาบอกผมให้มองย้อนกลับไปตามแนวถนนที่เพิ่งกวาดกันเสร็จ  แล้วท่านถามว่า “รู้สึกยังไง”  ผมก็ตอบท่านไปว่า “ รู้สึกสบายใจที่กวาดเสร็จแล้วครับ”   ท่านยิ้มและบอกให้มองไปเบื้องหน้าบริเวณที่ยังไม่ได้กวาดแล้วถามว่า “รู้สึกยังไง” ผมก็ตอบท่านไปว่า “รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องกวาดให้เสร็จครับ” ท่านยิ้มอีกและถามต่ออีกว่า “แล้วระหว่างที่กวาดรู้สึกยังไง”  ผมตอบท่านอีก “รู้สึกสบายใจ เป็นสมาธิ รู้ลมหายใจตลอดเวลาครับ” ท่านยิ้มให้ผมอย่างเมตตา พร้อมกับบอกว่า “ตอนนี้ก็รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมหลวงตาต้องมากวาดใบไม้ทุกวัน”  แล้วท่านให้ผมมองไปเบื้องหน้าสุดแนวถนนตรงวิหารพระพุทธรูปและองค์สมเด็จพระนารายณ์แล้วพูดว่า “โน่น...ท่านกำลังมองการกวาดของเราอยู่ ท่านคอยให้กำลังใจและคอยเตือนสติเราว่า จะทำอะไรก็ต้องทำให้สำเร็จ ทำให้ดี  ทำให้สะอาดหมดจดทุกซอกทุกมุม  ทำอย่างมีสติ มีสมาธิ  ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ผลสำเร็จของงานที่ทำอย่างเดียว แต่อยู่ที่ขณะกำลังกวาดต่างหาก  เห็นรึยังว่าการปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนากรรมฐานเพื่อการพ้นทุกข์ ไม่ใช่อยู่ที่การหลับตานั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว แต่จะอยู่ในทุกอิริยาบทของการดำเนินชีวิตปกติของเราอย่างมีสติ สัมปชัญญะ รู้สึกตัวตลอดเวลาต่างหาก”
          ช่างเป็นคำสอนที่สั้นและกินใจเหลือเกิน ท่านชี้ไปที่กลุ่มญาติโยมที่กำลังช่วยกันกวาดใบไม้ทั่วลานวัดต่อ แล้วพูดว่า “ถ้าหลวงตาไม่นำกวาด แล้วพวกเขาจะกวาดกันไหม”  ท่านกล่าวต่ออีกว่า “ไม่ว่าโยมหรือพระที่เป็นผู้บริหารและผู้นำทั้งหลาย  จะต้องนำเขา เป็นแบบอย่างให้กับเขาได้อย่างจริงจัง  เมื่อคนเขาศรัทธาเขาก็จะเชื่อและทำตาม  ก็จะช่วยขัดเกลาจิตใจ สอนเขาไปเอง ทำไปบ่อยๆเขาก็จะติดเป็นนิสัยที่ดีงาม กลับไปทำที่ครอบครัว  สอนบุตรหลานของเขาต่อ”
             จากนั้นหลวงตาได้เล่าเรื่องราวของท่านและการมาสร้างวัดแห่งนี้ให้ฟัง สรุปความว่า ตอนนี้หลวงตาอายุ 76 ปี แล้ว สุขภาพก็ไม่ดี  เคยได้รับอุบัติเหตุถูกรถชนตอนมาที่นี่ใหม่ๆขณะกำลังดูแลการสร้างวัดครั้งแรก  ต้องถูกผ่าตัด ดูแลรักษาจนฟื้นคืนชีวิตมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ  อวัยวะหลายส่วนถูกตัดทิ้งไป  แต่หลวงตาไม่ได้ใส่ใจว่าจะเป็นจะตายยังไง  คิดอย่างเดียวว่าจะต้องสร้างวัดของพระพุทธเจ้าให้แล้วเสร็จให้ได้            

        ตอนเริ่มสร้างใหม่ๆ บริเวณนี้เป็นภูเขาหินปูนที่หมดสภาพแล้ว  ซึ่งเขาสัมปทานระเบิดหินเพื่อใช้ถมถนนและใช้ในการก่อสร้าง  ฝุ่นคละคลุ้งไปหมด  พอพูดถึงหน้าพระลานใครๆก็รู้ว่าที่นี่เป็นยังไง พอดีที่นี่มีถ้ำและโบราณสถาณที่เกี่ยวกับพระนารายณ์ ที่กรมศิลปากรเขามาประกาศอนุรักษ์ไว้ด้วย  หลวงตาทุ่มเทนำพระ ชาวบ้าน ญาติโยม ด้วยทุนทรัพย์ที่มีอย่างจำกัด ช่วยกันรื้อฟื้นสภาพที่แห้งแล้งจนกลายมาเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างในปัจจุบัน ที่ชุ่มชื้นไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์และเขียวขจีเต็มพื้นที่   มีน้ำตก  ลำคลองรอบวัด  จัดบรรยากาศทุกส่วนของวัดให้สะอาด สดชื่น ร่มรื่น สวยงาม ตลอดเวลา บนพื้นแทบจะไม่เห็นใบไม้ร่วงมากองที่พื้นเลย และที่น่าทึ่งมากคือ ท่านสนองพระราชดำริของในหลวงรัชการที่ 9 เรื่องการสร้างฝายน้ำล้น เพื่อกักเก็บและระบายน้ำ ให้เกิดความชุ่มชื้นตลอดทั้งปี  รวมทั้งสร้างบ่อที่เป็นระบบกักเก็บและกรองน้ำเพื่อกำจัดสิ่งปฏิกูลไว้ด้วย  
         หลวงตาจะพูดย้ำบ่อยๆว่า ท่านจะสร้างให้วัดนี้เป็นวัดของพระพุทธเจ้า เพื่อจัดระบบและบรรยากาศให้ญาติโยมเข้ามาปฏิบัติธรรมอย่างเป็นสุข  หลวงตาพูดเสมอว่า หลวงตาจะสร้างจะทำอะไรก็จะคำนึงถึงญาติโยมที่จะเข้ามาปฏิบัติธรรมที่นี่ว่าจะมีความสุขความสงบไหมเป็นประเด็นสำคัญ  โดยถือว่าวัดนี้เป็นวัดของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่วัดของหลวงตา  จึงมุ่งสร้างให้ญาติโยมมาปฏิบัติธรรมและช่วยกันดูแลรักษา สืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป
          พอกวาดลานวัดเสร็จหลวงตาพามาดูวิหารและโบสถ์ที่หลวงตาเป็นทั้งสถาปนิกและวิศวกรนำก่อสร้างที่สวยงามและแปลกกว่าที่อื่นๆ  ท่านชี้ให้ดูหลังคา  หน้าจั่ว ที่มีความชันและลดหลั่นเป็นระดับจนดูงามตา แล้วท่านบอกว่า  “สังเกตไหมว่าที่วัดนี้ไม่มีนกพิราบมาเกาะทำรังเหมือนที่อื่นๆ” ผมเองก็รู้สึกแปลกใจแต่แรกเหมือนกัน  หลวงตาอธิบายต่อว่า  “เพราะหลวงตาจะทำอะไรจะนึกถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นต่อไปเสมอ จึงพยายามคิดป้องกันไว้ก่อน  แม้จะมีหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบจะแย้งว่าอาจไม่ตรงกับแบบที่อนุรักษ์กันมานานเท่าใดนัก  แต่หลวงตาก็ยังฝืนทำแบบขอพบกันครึ่งทาง  และผลที่เกิดขึ้นคือนอกจากไม่มีนกพิราบมาเกาะ ให้ต้องสร้างตาข่ายมาคลุมให้รกรุงรังแล้ว ยังไม่ต้องไปทำปานาติบาตหรือทำร้ายเขาอีกด้วย”
         หลวงตาบอกว่าหลวงตาจะตื่นตั้งแต่ตีสองทุกคืน หลังจากปฏิบัติกิจของสงฆ์ปกติเสร็จแล้ว ท่านจะนั่งคิดวางแผนว่า จะดูแลรักษาวัดยังไง ให้เป็นวัดของพระพุทธเจ้าที่งดงาม ที่ญาติโยมเข้ามาแล้วมีความสุขความสงบ  หลังจากนั้นท่านจะเดินดูแลทั่วทั้งบริเวณวัด ใส่ใจในความเป็นอยู่ของญาติโยม กวาดลานวัดและปฏิบัติภารกิจร่วมกับพระในวัด นำญาติโยมปฏิบัติธรรมตามกำหนดการประจำวัน เป็นเช่นนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน
        นี่คือหลวงตา เจ้าอาวาสวัดเขาวง “ถ้ำนารายณ์” วัย 76 ปี ที่มีโรครุมเร้ามากมาย ไม่มียศมีตำแหน่งสูงส่งใดใด แต่ดูหน้าตาผิวพรรณท่านอิ่มเอิบ เปล่งปลั่ง  เป็นที่เคารพศรัทธาของญาติโยมทั่วสารทิศ  เพราะท่านคือผู้นำที่มุ่งจรรโลงพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบไปอย่างแท้จริง
     ... เชิญเข้ามาเยี่ยมชมวัดเขาวง”ถ้ำนารายณ์” ในเว็บ www.watkhaowong.com   ครับ...

      

หมายเลขบันทึก: 647825เขียนเมื่อ 31 พฤษภาคม 2018 13:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 กรกฎาคม 2020 11:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท