สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ


สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นพระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ 66

ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) และสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา

(เจ้าจอมมารดาเปี่ยม) ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2407  สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2462  พระชนมายุ 55 ปี พระองค์มีพระราชโอรสธิดาทั้งสิ้น ๙ พระองค์ โดยเป็นพระราชโอรส7 พระองค์ พระราชธิดา 2 พระองค์

             เมื่อแรกประสูติพระองค์ได้รับพระราชทานพระนามว่า พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระองค์มีพระเชษฐาและพระขนิษฐาร่วมพระมารดาทั้งสิ้น 6 พระองค์ ได้แก่

พระองค์เจ้าอุณากรรณอนันตนรไชย

พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์

พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์

พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา

พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี

พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ

             เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์นั้น พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีพระปัญญาที่เฉียบแหลมมาก ทรงใฝ่พระทัยในการศึกษาหมั่นซักถามแสวงหาความรู้ด้วยพระวิริยะอุตสาหะและทรงศึกษาวิชาการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วอันเป็นเครื่องแสดงถึงการที่ทรงมีพระวิริยะ พระปัญญาปราดเปรื่องหลักแหลม

ต่อมาขณะที่มีพระชนม์ 15 พรรษา ทรงเข้ารับราชการเป็นมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงทรงได้รับการสถาปนาเป็น พระนางเธอพระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี และในปีถัดมาก็ได้รับการสถาปนาเป็น พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระราชเทวี

             ภายหลังการสวรรคตของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ พระราชโอรสในพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารพระองค์ต่อมา พร้อมทั้งสถาปนาพระอิสริยยศของพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอรรคราชเทวี ในฐานะเป็นพระชนนีในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พระองค์ใหม่ ซึ่งเป็นพระยศพระอัครมเหสีเช่นเดียวกับสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี

              เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรปในปี พ.ศ. 2440 เพื่อตรวจดูแบบแผนราชการแล้วนำมาเปรียบเทียบปรบปรุงการปกครองของราชอาณาจักรสยาม พร้อมกันนั้นก็เพื่อทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับอารยประเทศในยุโรป พระองค์จึงทรงมอบหมายให้สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งทรงปฏิบัติราชการแผ่นดินได้เรียบร้อยเป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก ด้วยพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถจรรยนุวัติปฏิบัติ ประกอบด้วยพระราชอัธยาศัยสภาพสมด้วยพระองค์เป็นขัติยนารีนาถ และกอปรด้วยพระกรุณภาพยังสรรพกิจทั้งหลายที่ได้พระราชทานปฏิบัติมาล้วนแต่เป็นเกียรติคุณแก่ประเทศสยามทั่วไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เฉลิมพระนามาภิไธย จากสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี เป็น “สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ”   เป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์แรกในประเทศไทย

             เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ พระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราช กุมาร ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี ในฐานะพระราชมารดาพระองค์จึงทรงได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น “สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี”  และทูลเชิญพระองค์เสด็จมาประทับที่พระราชวังพญาไท ซึ่งพระองค์ก็เสด็จประทับที่พระราชวังแห่งนี้จนกระทั่งเสด็จสวรรคตเมื่อวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2462 พระชนมายุ 55 พรรษา

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการให้ออกพระนามพระบรมราชชนนีภายหลังการเสด็จสวรรคตว่า สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

        พระราชกรณียกิจที่สำคัญ  ทรงสนพระทัยในการพัฒนาสตรีและทรงเล็งเห็นว่าความรุ่งเรืองของบ้านเมืองย่อมอาศัยการศึกษาเล่าเรียนที่ดี

ดังนั้นในปี พ.ศ. 2444 จึงทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดตั้งโรงเรียนสำหรับเด็กหญิงแห่งที่สองขึ้นในกรุงเทพมหานคร ทรงพระราชทานชื่อว่า “โรงเรียนสตรีบำรุงวิชา”และในปี พ.ศ. 2447 ทรงเปิดโรงเรียนสำหรับกุลธิดาของข้าราชสำนักและบุคคลชั้นสูงคือ

“โรงเรียนสุนันทาลัย” ให้การอบรมด้านการบ้านการเรือน กิริยามารยาท และวิชาการต่างๆ อีกทั้งทรงจ่ายเงินเดือนครู และค่าใช้สอยต่างๆ สำหรับเป็นค่าเล่าเรียนแก่กุลบุตรกุลธิดาของข้าราชการใหญ่น้อยและราษฎรอีกเป็นจำนวนมาก ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ตั้งโรงเรียน และจ่ายเงินเดือนครูในโรงเรียนต่างๆ เช่น

โรงเรียนราชินีโรงเรียนราชินีบน

โรงเรียนทวีธาภิเศกโรงเรียนเสาวภา ปัจจุบันคือ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา

โรงเรียนวิเชียรมาตุ  

โรงเรียนสภาราชินี (จังหวัดตรัง) 

โรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมถ์ (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) 

โรงเรียนราชินีบูรณะ (จังหวัดนครปฐม)

 โรงเรียนศรียานุสรณ์ (จังหวัดจันทบุรี) 

โรงเรียนสตรีราชินูทิศ (จังหวัดอุดรธานี) 

โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร

เสด็จมาทรงควบคุมการก่อสร้างแทนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาล ปัจจุบันคือคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล นอกจากนี้ยังมีพระราชกรณียกิจทางด้านการศาสนา การทหารและการเสด็จประพาสทั้งในและต่างประเทศ

             พระราชกรณียกิจด้านการพยาบาล  สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีความห่วงใยความเจ็บไข้ได้ป่วยของราษฎรและทหารเป็นอย่างยิ่ง โดยทรงสนับสนุนการก่อตั้งโรงพยาบาลศิริราชซึ่งนับว่าเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของประเทศไทย ภายหลังการสวรรคตของ

เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ พระราชโอรสของพระองค์ และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ ตั้งโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์ขึ้นในโรงพยาบาลแห่งนี้สำหรับเป็นสถานศึกษาวิชาการพยาบาลและการผดุงครรภ์ของสตรี ทั้งยังทรงจ่ายเงินเดือนแพทย์และมิชชั่นนารีเพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่าย ตลอดจนค่าอาหารของนักเรียน และพระราชทานเงินให้แก่หญิงอนาถาที่มาคลอดบุตรในโรงพยาบาลศิริราชเพื่อเป็นค่าใช้สอยทุกคน

             พระองค์ทรงเป็นผู้นำชักชวนสตรีไทยให้เลิกการคลอดบุตรในลักษณะที่ต้องอยู่ไฟมาใช้วิธีการพยาบาลแบบสากลที่สุขสบายและได้ผลดีกว่านอกจากนี้พระองค์ยังมีพระราชดำริจัดตั้งสภาอุณาโลมแดงและได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2436 เพื่อเป็นศูนย์กลางบรรเทาทุกข์ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย

 ซึ่งต่อมาภายหลังที่ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส เรื่องเขตแดนริมฝั่งแม่น้ำโขง เมื่อ พ.ศ. 2436 อันนำมาซึ่งการบาดเจ็บให้กับทหารและราษฎรจำนวนมาก สภาอุณาโลมแดงได้เป็นศูนย์กลางในการบรรเทาทุกข์ลงอย่างมาก

หลังจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว สภาอุณาโลมแดง จึงใช้ชื่อว่า สภากาชาดสยาม ซึ่งแปรเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และสภากาชาดไทยในปัจจุบัน ซึ่งนับว่าเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์องค์กรแรกในประเทศไทย ทั้งนี้สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาพระบรมราชเทวี (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) เป็นสภาชนนี และพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) ทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกาพระองค์แรก ซึ่งพระองค์ได้ทรงดำรงตำแหน่งองค์สภานายิกาสืบต่อมารวมเวลาถึง 26 ปี อีกทั้งพระองค์ยังได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์แก่โรงพยาบาลหลายแห่งทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด

              ด้วยพระเกียรติคุณที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชนนานัปการ จนเป็นที่ประจักษ์ชัดจนถึงทุกวันนี้ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ UNESCO  สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส จึงได้ประกาศราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติคุณยกย่องให้สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเป็น “บุคคลสำคัญของโลก” ในฐานะที่ทรงมีผลงานดีเด่นด้านการศึกษาสำหรับเด็กและสตรี การศึกษาด้านการสาธารณสุขศาสตร์ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ประยุกต์และสังคม และมนุษยศาสตร์ ปี พ.ศ.๒๕๕๗  เนื่องในโอกาสครบ ๑๕๐ ปี แห่งการพระราชสมภพ วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติคุณให้ปรากฏแผ่ไพศาล สืบไป

หมายเลขบันทึก: 647787เขียนเมื่อ 30 พฤษภาคม 2018 14:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 พฤษภาคม 2018 14:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท