เหยียบสันหลังมังกรที่สตูล


​ ฉันเคยปรารภกับคู่หูว่า คราวต่อไปไปเที่ยวสตูลเน๊อะ มันอยู่ตรงไหนตรงประเทศไทย แล้วก็มีเหตุให้ได้เดินทางไปราชการและแถมวันทัศนศึกษาอีก 1 วันที่สตูล

ทริปเริ่มจาก 10.30 น. หลังจากออกจากเกาะหลีเป๊ะ รถโค้ชปรับอากาศพาเรามุ่งหน้าเข้าสู่สตูล

ฉันหลับตาเปิดฟังเพลงเบาๆ...รู้สึกจะเป็นเพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า 555+ ทั้งที่ฉันมาทะเล

ทริปนี้ฉันเดินทางมากับคนแปลกหน้า มาเป็นหมู่คณะ ฉันต้องอิสระจะจากติดกรอบที่ชอบเที่ยวแบบคนน้อยๆ และเพื่อนสนิท มันก็โอนะการมาเที่ยวกับคนแปลกหน้าครั้งนี้

กว่า 1.30 ชม. เราก็เข้าถึงสตูล เป็นเมืองเงียบๆ ทัวร์ถามว่ากินข้าวช้าได้ไหม จะพาแวะเที่ยวที่พิพิธิภัณฑ์แห่งชาติสตูลก่อน เป็นอันโอเครค่ะ 

อาคารพิพิธภัณฑ์เพิ่งปรับปรุงใหม่ เดิมก่อสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 5 ที่จะเสด็จไปแหลมมลายู แต่พระองค์ท่านไม่ได้เสด็จประทับในคราวนั้น


ที่นี่ฉันได้รับความรู้เรื่อง ซาไก หรือ เงาะป่าซาไก...และทำหน้าเหวอในเรื่อง ผู้หญิงไปคลอดลูกคนเดียวที่ริมฝั่งน้ำ

 ....สถานการณ์ช่างทำให้สตรีมีความกล้าหาญและยิ่งใหญ่จริง

ฝั่งตรงข้ามในวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เย็นๆ จะเป็นถนนคนเดิน

หลังจากนั้นทัวร์บอกจะพาเราไปกินอาหารบ้านๆ อาหารทะเลแบบชาวบ้าน รสชาติยังไม่ปรุงแต่งมากนัก และปรุงรสด้วยกะปิดีฝีมือชาวบ้าน

มื้อเที่ยงเราฝากท้องกันที่ "ร้านตันหยงบุรีรีสอร์ท" ต.ตันหยงโป อ.เมือง จ.สตูล เป็นทั้งร้านอาหารและที่พัก

กั้งทอดกะปิ...คลุกข้าวววววว หร่อยจังหู้

เมนูผัดกะปิ หรือน้ำพริกกะปิ นี่...ต้องสั่งนะขอบอก

อาหารอร่อยค่ะ ของทะเลอาจจะไม่มาเป็นตัวใหญ่ๆแต่สดมาก  รสชาติเข้มข้นถึงเครื่องเทศ

อาหารประเภทยำจะมีส่วนประกอบของมะพร้าวคั่ว ทั้งหอมและอร่อย

 ยำมะม่วงใส่หอยแมลงภู่และกุ้ง น้ำยำรสเข้มข้นด้วยมะพร้าวขูดคั่ว ทานเล่นก็ดี ทานแกล้มก็โอ

ปู แม้จะดูตัวเล็ก แต่สด เนื้อแน่น หวาน

ล่วงเวลาบ่าย 2 โมงไปมากโข เวลา น้ำยังขึ้นอยู่ เราก็ทานข้าวคุยกันไปชิวๆ รอเวลาน้ำลด เพื่อจะได้ดูสันหลังมังกรที่เกิดจากทะเลแหวก

ออกเรือตอนนี้...ก็ไปนั่งร้อนในเรือเฉยๆ คนนำทัวร์บอกว่า เวลาชมสันหลังมังกรก็ประมาณ บ่าย 3-6  โมงเย็น


ทะเลที่นี่แหวกไม่เหมือนแถวกระบี่ เพราะทะเลแหวกที่นี่ 3 สาย หรือ 3 วง ที่เกิดจากมังกร 3 ตัว 

นี่หล่ะจุดเด่นสิ่งมหัศจรรย์แห่งอันดามันท้องทะเลสตูล ป๊ะ...ไปดูกัน

กินข้าวเสร็จ เกือบบ่าย 3 โมงได้  เดินจากร้านอาหารไปตามคันหินกันน้ำเซาะไปยังท่าเรือ ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 300  เมตร

เราลงเรือไปยังหมู่บ้านชาวประมง เรือเป็นเรือเล็กของชาวบ้าน มีเสื้อชูชีพครบ--รับประกันความปลอดภัย

“เกาะหัวมัน” เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมงประมาณ 5-8 หลังคาเรือน เป็นส่วนหนึ่งของทะเลแหวก

จุดนี้หากน้ำลงมากๆ จะเห็นสันทรายแบบกว้างๆๆๆ เรานั่งเรือมาประมาณ 20 นาที ก็ถึงหมู่บ้าน

ระหว่างทางเดินเข้าไปหมู่บ้าน หอยเยอะมาก จนฉันอยากจะเก็บเอามาทำอาหาร คนอื่นเข้าไปถึงหมู่บ้านแล้ว ฉันมัวแต่ละลานตากับ หอย หอย หอย

ณ หมู่บ้านนี้ เราได้เรียนรู้การเป็นอยู่คือกับธรรมชาติ 

ที่นี่มีเรื่องเล่าว่าลูกหลานชาวเลที่นี้มีเชื้อสายมาจากอีสาน ก็น่าจะใช่คำทักทายเป็นภาษาอีสานเป๊ะ

 อยากรู้ว่ามีเชื่อสายอย่างไร ต้องไปเที่ยวและให้ไกด์เล่า 

เกาะนี้เป็นสัญลักษณ์ของหัวมังกร ส่วนหางก็คือทะเลแหวกในแต่ละวง 

ภาพนี้เริ่มเห็นสันหลังของมังกรเริ่มโผล่ คดโค้งดูเหมือนมีชีวิต ถ้าถ่ายภาพจากมุมบนได้คงเห็นมังกร 3 ตัวได้ชัดเจน

 เกาะนี้ไม่มีน้ำจืด ต้องขนมาจากฝั่ง แต่เป็นจุดที่หลบลมได้ดี 

ชาวประมงเลี้ยงแมวไว้เยอะ จากเรื่องเล่าเวลากลับฝั่ง 4-5 วันก็จะขนแมวเข้าฝั่งไปด้วย น่ารั๊กอ่ะ 

และแมวหาอาหารจากทะเลได้  555+ จริงนะ

เรือสองหาง=คนเจ้าชู้  5555+ มีให้ดู 1 ลำที่หมูบ้านชาวประมงบนเกาะหัวมัน

ต่อจากนั้นเราไปกันต่อที่ "หาดหินเหล็ก" ที่อยู่บนเกาะกวาง ด้านบนมีจุดชมวิวแบบพานอรามา มีช่องผาให้ถ่ายรูป

ที่น่าสนใจทางภูมิศาสตร์คือ หาดหินโบราณอายุประมาณ 470 ล้านปี มีชื่อแร่วิทยาศาสตร์นะ แต่จำไม่ได้ ซึ่งแร่บางส่วนเอามาทำเหล็กได้  ทำไมฉันถ่ายรูปมาไม่สวยเลย บางส่วนมีเปลือกหอยฝังอยู่ในหิน คงอยู่ตรงนั้นมานานนับหลายล้านปี

ระหว่างที่คนหลายคนเดินไปชมวิวด้านบน ฉันว่าแดดมันแรง แม้จะ4 โมงเย็นแล้ว ขอรออยู่โขดหินดีกว่า มีหนังสือเป็นเพื่อน

ตรงนี้ทัวร์ก็แจกน้ำดื่ม ผ้าเย็นให้คลายร้อน สบายฉันหล่ะ

อยู่กันแป๊บๆ สันหลังมังกรเริ่มโผล่ขึ้นมากลางอันดามัน พวกเราลงเรืออีกครั้งย้อนกลับมาชม ทะเลแหวก-สันหลังมังกรแห่งสตูล

สันหลังมังกร หรือสันทรายของสตูลเป็นหาดกรวดละเอียด ต่างจากหาดทรายของทะเลแหวกที่กระบี่ ซึ่งเป็นทรายละเอียด 

ใส่รองเท้าก็ดีนะ แต่หลายคนก็บอกถอดได้กรวดไม่คม ก็จะได้นวดเท้าสัมผัสธรรมชาติได้ถึงแก่น

เกือบ 5 โมงเย็น  แดดเย็นของเดือนมีนาคมยังแรง เป็นที่น่าตื่นเต้นกับทะเลแหวกที่ยาววววววววว มากกๆๆๆๆ แต่คนทั้งทัวร์มุ่งไปฝั่งที่ถ่ายรูปสวย  ในฐานะคนอายุเยอะ อิป้าเลยไม่อยากไปเบียดบังกับกลุ่มคนในการถ่ายรูป

เลยหันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ที่กำลังจะตก เพื่อหามุมส่วนตัว 

แต่พระอาทิตย์คงตื่นเต้นกับนักท่องเที่ยวเลยอ้อยอิ่งในการลงจากท้องฟ้า 

โลเคชั่น มุมมอง และแสง จึงเป็นองค์ประกอบของการเก็บภาพในทริปนี้ 

ภาพของฉันจึงเป็นชนเผ่าขอม (ขอมหัว)....และย้อนแสงซะส่วนมาก

ด้วยความหวังดีของน้องชายนายนึง ตะโกนบอกฉันว่า พี่ครับ...ทางโนน้นย้อนแสงนะ...ไม่เป็นไรฉันไม่ถือ

ได้เวลาอันสมควร เกือบ 6โมงเย็น คนเรือก็บอกให้เรามากลับฝั่งกันเถอะ...

หากอยากมาเหยียบสันหลังมังกรก็ค่อยมาใหม่ แต่ให้เชคข้อมูลน้ำขึ้นน้ำลง เวลาที่สมควรกับคนเรือก่อนน๊า

ขากลับพบปัญหาเรื่องน้ำลง ทำให้ต้องปีนบันไดขึ้นท่าเรือ ดูลำบากนิดส์นึง ตอนลงเรือขาไป ลงบันไดแค่ 4 ขั้นเอง

นี่หล่ะมหัศจรรย์แห่งท้องทะเล

แต่นานๆ ที ก็ให้นึกเอามันส์ เป็นการวัดสังขารตัวเอง จะสามารถออกรอบได้อีกอีกกี่ปีกันนะ สปอร์ตเข้าไว้

ทะเลแหวกสตูล นับเป็นการท่องเที่ยวที่สงบเงียบ ใสๆ ไม่เย๊อะ เรียนรู้เรื่องนิเวศวิทยาชายทะเลได้ดีจริง ดู...ปูปลาหอย นี่สนุกดูจริงๆ  เด็กๆน่าจะชอบ--นอกจากมหัศจรรย์สันหลังมังกรแล้ว...ยังเป็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ดีจริงๆ--

Footnote---------------------

รีสอร์ทชุมชนบ้านบากันเคย..ทัวร์เชิงนิเวศ https://www.facebook.com/ptiyo...24/

ทัวร์ที่พาออกทริป --สตูล วีไอพี ใช้ได้เลยนะ ดูแลลูกทัวร์ดี กินอิ่มมมมมม

 

 

หมายเลขบันทึก: 647489เขียนเมื่อ 20 พฤษภาคม 2018 23:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 พฤษภาคม 2018 11:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

จังหวัดสตูลสตูล

เป็นจังหวัดที่ผมไปบ่อยมากเนื่องจากมีโครงการพื้นที่เกาะสมเด็จพระเทพฯครับ

ชอบพื้นที่ทะเลที่สงบ

อาหารอร่อยมากๆ

อยากไปเกาะหลีเป๊ะจังค่ะ ทะเลและบรรยากาศยังเป็นธรรมชาติมาก   จ.สตูลเป็นจังหวัดที่น่าท่องเที่ยวจังหวัดหนึ่งของภาคใต้

@อ.ขจิต & N'แม่มด เป็นครั้งแรกที่ไปเยือนสตูลค่ะ และก็ประทับใจ เสียดายที่มีเวลาน้อยมาก หากมีโอกาส ยังอยากจะกลับไปอีก สตูล

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท