บังกาปู ตอนมี่ 7
.........อธิบายความเป็นมาของภูเขาเล็ก ๆ ข้างทางที่เห็นนั้น ว่าเป็นเหมืองพลอยมีชื่อเสียงของอาบังผู้ร่ำรวยคนหนึ่ง เราพ่อลูกต้องลงจากรถ เดินถึง 200 กว่าเมตร ไปขอความช่วยเหลือจากยามหน้าประตูถนนเข้าไปภูเขา ยามออกมาดูที่รถและสอบถามว่าเราเป็นใคร มาจากไหน จะไปไหนในยามค่ำคืนเช่นนี้ ก็บอกไปตามจริงว่าเป็นคนไทย มาบวชถวายกุศลให้พระเจ้าแผ่นดิน เช่ารถ ทัวร์กลับกรุงนิวเดลีเอง หลังลาสิกขาบถจากวัดไทยกุสินาราแล้ว เมื่อยามรายงานเข้าไปในสำนักงานให้แจ้งตำรวจและแจ้งประวัติและจำนวนคนที่นั่งมาในรถให้หัวหน้าทราบ หัวหน้าสั่งให้เสมียนในสำนักงานแจ้งเหตุให้ตำรวจท้องที่ทราบ แล้วให้ยามพาคนไทยในรถทุกคนเข้าไปหาหัวหน้าใหญ่ ผม กับลูกชาย จึงถูกพาตัวเข้าไปยังสำนักงานเชิงเขาที่เห็นแต่แรกพร้อมกระเป๋าเดินทาง เจ้าของเหมืองบ่อพลอยแห่งนี้ เป็นขาวอินเดียวัยกลางคน ออกมาพบกับสองพ่อลูก สอบถามอีกครั้งว่าเป็นคนชาติใดมาทำอะไรที่อินเดียกกลางคืนดึก ๆ เช่นนี้ และจะไปไหนกัน ผมก็ตอบไปตามความเป็นจริงเหมือนกับที่บอกยามไปแล้ว แต่สังเกตได้ว่าผู้เป็นเจ้าของนี้ มองที่สร้อยข้อมือผมที่อาบังกาปูถอดออกจากมือเขามาใส่ให้ในวันที่ผมช่วยพาอาบังไปทำแผลที่โรงพยาบาลอออออจากการที่ที่อาบังถูกคนวิ่งชนหกล้มหัวแม่เท้าซ้ายฉีกเลือดออกเป็นทาง ๆ เมื่อสิบกว่าปี ที่อาบังผู้นั้นถอดสร้อยนิลนี้จากแขนตัวเองมาใส่ข้อมือผมไว้เป็นการตอบแทนบุญคุณที่ผมช่วยทำแผล ให้เงินค่ารถกลับบ้านในครั้งนั้นให้เขาฟัง ชายผู้นั้น จับข้อมือผมขึ้นดูอย่างพินิจพิเคราะห์ หลายครั้งและขอถอดสร้อยออกมาสั่นกระดิ่งฟังเสียงหลายครั้งแต่ละครั้งก็เงี่ยหูฟังอย่างใกล้ชิด หนำซ้ำยังเรียกเมียออกมาช่วยฟังอีกคนฟังแล้วต่างก็มองหน้ากัน สุดท้ายผู้สามีก็ พยักหน้ากับผู้ภรรยา ผู้ภรรยาก็ออกไป หายไปครู่ใหญ่ ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมสมุดปกแข็งเก่า ๆ เล่มหนึ่ง มายื่นให้ผู้สามี ๆ เปิดสมุดออกอ่าน. ...... . …
ไม่มีความเห็น