หลังสู้ฟ้า หน้าคว่ำลงใต้ท้องทะเลอันดามัน รอบหลีเป๊ะ อาดัง ราวี


กลับจากหลีเป๊ะรอบนี้ ทำเอาผมรู้สึกโหยหาอดีต

เดินเข้าห้องสมุดสุดรักของบ้าน ค้นหาหนังสือที่ต้องการ มันเป็นหนังสือทำมือที่มีความหนาเพียงครึ่งเซนติเมตร มีขนาดรูปเล่มราวครึ่งกระดาษ A4 ที่ขนาดเพียงเท่านี้ก็เพราะผู้ทำหนังสือตอนนั้นใช้เครื่องพิมพ์ดีดพิมพ์เรื่องราวการท่องเที่ยวของเขากับเพื่อนๆในกระดาษแผ่นต่อแผ่น นำต้นฉบับไปถ่ายเอกสาร แล้วตัดให้ได้หน้าต่างๆ จากนั้นก็ติดมันด้วยกาวให้เป็นรูปเล่ม ใกล้เวลาแจกเพื่อนๆ ก็ไหว้วานให้คนที่วาดรูปเก่งๆช่วยออกแบบและวาดหน้าปกให้ 

“หลังสู้ฟ้า หน้าคว่ำลงใต้ทะเลอันดามัน หมู่เกาะตะรุเตา” คือหนังสือเล่มนั้น

ปี ๒๕๓๘ คือปีที่ผมจบชั้นปีที่ ๕ เราไปเที่ยวตะรุเตากันก่อนที่จะต้องออกไปเป็นนักเรียนปี ๖ ที่โรงพยาบาลมหาราช นครศรีฯ เป็นปีที่ผมกับจิ๋มคงกำลังเริ่มมองกันและกันว่าจะรักเธอแบบไหนดี 

เอาเหอะ นั่นคือเรื่องในอดีต 

เรื่องในปัจจุบันก็คือ ผมและเพื่อนๆ กำลังเดินทางไปในเส้นทางเดียวกันกับครั้งนั้น ต่างกันที่เพื่อนที่ไป คือเพื่อนที่ไม่ใช่หมอ ต่างกันที่ตอนนี้จิ๋มคือเมีย ต่างกันที่เราพาครอบครัวของพวกเราไปด้วย ลูกเล็กเด็กวัยรุ่นเต็มเรือ

ผมจะเล่าให้ฟัง

...................

“ทีมหมู่บ้านเพ็นกวิ้น” จะมีทริปด้วยกันอย่างน้อยปีละครั้ง 

ปีนี้เราเลือกไป “หลีเป๊ะ”

 

๒๐-๒๒ เมษายน ๒๕๖๑ กว่าจะได้กำหนดวันนี้ก็แสนจะวุ่นวาย เพราะต่างคนต่างมีภาระ แต่เรื่องมันมาลงตัวได้ก็เพราะลูกๆได้หยุดเรียนซัมเมอร์พอดี ช้ากว่านี้มันก็เปิดเรียนอีกรอบ

เราจองห้องพักที่โรงแรม Idyllic 

เราได้เรือสปีดโบ้ทส่วนตัว โดยมีเพื่อนในกลุ่มครอบครัวหนึ่งออกค่าเหมาเรือให้ตลอดการเดินทาง

เราได้ผู้จัดการการเที่ยวให้ เธอจัดหาเรือ จัดหารถรับส่ง จัดหาของกิน จัดหาไกด์ และจัดหาเส้นทางเที่ยวให้

แค่นี้ก็พร้อมเดินทาง

ผมนึกถึงช่วงเป็นหนุ่ม คราวนั้นเราต้องเดินทางด้วยเรือเมล์ ซื้อตั๋วไปกลับจากบนฝั่ง เรือแล่นด้วยความเร็วช้าๆ แต่ความสุขใจอยู่ที่เพื่อนร่วมทางรู้ใจ ทะเลตอนนั้นกับตอนนี้สวยเหมือนกัน แต่ลูกๆที่ร่วมเดินทางมานั้นทำให้ความเป็นห่วงและพะวงเพิ่มมากขึ้นอีกหน่อย โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กของผมที่คออ่อนกว่าใครเพื่อน

“ห๊ะ..คออ่อน”

มิใช่เรื่องใดหรอก มันขี้เมาคลื่น และเชื่อไหม สมาชิกในหมู่บ้านเพ็นกวิ้นล้วนแต่มีคนคออ่อนอยู่มากมายด้วยกัน ดังนั้น ก่อนการเดินทาง “ป้าแดง” เธอจึงแจกพลาสเตอร์ให้เด็กๆขี้เมาทั้งหลายได้ติดปิดสะดือ

“ติดไป จะได้ไม่เมา” เธอบอกเด็กๆ

“มันทำให้ไม่เมาได้อย่างไร” จ้าสงสัย

“เอาเถอะ ป้าไม่รู้หรอก แต่ป้าพิสูจน์มาแล้ว มันไม่เมาเลย” คนชื่อป้าแดงทำหน้าตาน่าเชื่อถือเป็นที่สุด

แล้วจ้าก็ติดกอเอี๊ยะที่สะดือ 

เราออกเรือจากท่าเรือปากบาราสายหน่อย เพราะเรือเพิ่งได้เติมน้ำมัน เขาบอกว่า วันนี้น้ำมันมาถึงท่าเรือช้า 

ออกมาได้เพียงไม่ถึง ๑๐ นาที

๑๐ นาทีเท่านั้นเอง เรือก็หยุดวิ่ง “เครื่องเรือเสีย ๑ เครื่อง” กัปตันบอก

ผมกับจิ๋มมองหน้ากันแล้วยิ้ม ทำไมน่ะรึ ก็เราสองคนมีประสบการณ์เรือเสียเมื่อมาตะรุเตาครั้งนั้นเช่นเดียวกัน อะไรมันจะบังเอิญเช่นนี้

“เราจะไปเปลี่ยนเรือที่ตะรุเตานะครับ” ท้ายที่สุด เมื่อกัปตันยอมแพ้ต่อการพยายามซ่อมเครื่อง เขาจึงโทรศัพท์เข้าฝั่ง แล้วอัดแรง ๒ เครื่องยนต์ที่เหลือมุ่งหน้าไปตะรุเตา

ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงเราก็ผ่านแหลมพันล้าน อ่าวเรือแตก หัวเขาเต่าทะเล เรือก็เบี่ยงหน้าเข้าอ่าวพันเตมะละกา

ท่าเรือ ต้นสน และหาดทราย มันแสนคุ้นตา (แหม่..อันที่จริงมันก็คุ้นไปหมดเสียทุกที่) ผมไม่ยอมเสียเวลาที่จะถอดรองเท้าไปย่ำบนผืนทรายที่แสนละเอียด ผมจำได้ว่า เคยบรรยายถึงความละเอียดของทรายชายหาดแห่งนี้ว่ามันละเอียดขนาดเดินย่ำเท้าไปแต่ละที่ก็ได้ยินเสียงดัง “ซิกๆ”

ผมเดินออกไปท่ามกลางแดดระอุยามเที่ยง

“อูย...ร้อนตีน” แล้วก็วิ่งโหย่งๆกลับเข้ามาใต้ร่มเงาต้นสนริมหาดโดยยังไม่ทันได้รับรู้กับความ ซิกๆ ที่เคยจดจำ ณ วันนี้ตอนนี้ ความโรแมนติกมันหายไปหมดเชียว

“เราจะไปชมพิพิธภัณฑ์นักโทษตะรุเตากันก่อนนะครับ” น้องอี้ฟ ไกด์ของทีมเราตะโกนบอกมา

เราจึงออกเดินไปตามทางของที่ทำการอุทยานฯ

ต้นเสม็ดแดงตลอดทางเดินนั้นเด่นสะดุดตา แสงสีแดงที่สะท้อนออกมานั้นทำให้พื้นที่ช่วงทางเดินนั้นออกโทนสีเปีย

ผมมองหาบ้านหลังนั้น หลังที่ผมกับเพื่อนๆและเมียในอนาคตเคยมาใช้บริการ เห็นมันอยู่ไกลๆ แล้วผมก็เห็นนักเรียนแพทย์กลุ่มหนึ่งนั่งเล่นไพ่กันช่วงค่ำ ผมมองเห็นคน ๓ คนออกมานอนนอกห้องเพราะทนความร้อนอบอ้าวในช่วงค่ำคืนไม่ได้ ผมได้ยินเสียงตดของเพื่อน ที่ดังเสียจนทำให้ผมสะดุ้งตื่น ผมได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงด้วยคนที่นอนอยู่ใกล้ๆนั้น คือเมียของผมในตอนนี้

ฮ่าย..ผมรักเกาะแห่งนี้เหลือเกิน

เรากินมื้อเที่ยงกันที่นี่ อี้ฟทำหน้าที่ทุกอย่างที่พึงกระทำ หาสถานที่กิน เสิร์ฟ ปอกผลไม้ เก็บขยะ

การจัดการเรื่องขยะที่เกาะตะรุเตาผมให้ ๕ ดาว ขยะทุกชิ้นที่นำเข้ามาต้องถูกนำออกไป ในพื้นที่อุทยานผมไม่เห็นขยะอื่น (นอกจากก้นบุหรี่ บ้าจริง)

เรือลำใหม่ของเรายังไม่มา ระหว่างนี้ก็เดินเล่นหรือนอนผึ่งพุง

เรือลำใหม่ของเรายังไม่มา ระหว่างนี้ก็เล่นเกม “ชาเย็น” ที่สนุกจนเด็กและผู้ใหญ่เล่นด้วยกันได้

เรือลำใหม่ของเรายังไม่มา อี้ฟคงเริ่มกังวล จึงมาเล่นเกมไปกับเราด้วย

เรือลำใหม่ของเรายังไม่มา เสียงโทรศัพท์ดังมาจากฟากโรงแรม ว่าพวกเราหายไปไหน ทำไมจึงยังมาไม่ถึง เราบอกว่า “เรือพัง”

เรือลำใหม่ของเรายังไม่มา ดังนั้น เมื่อมีเรือโผล่พ้นแหลมหัวเต่า เราจึงทายกันว่าเป็นเรือของเราไหม ลำแล้วลำเล่าผ่านเข้ามาล้วนมีเจ้าของ 

เรือลำใหม่ของเรามาแล้ว เขาต้องจัดแจงถ่ายของจากลำเก่ามายังลำใหม่ ผมเน้นย้ำว่าลังโฟมที่ผมหิ้วมาคือของสำคัญ จะลืมไว้ในลำเก่ามิได้ (ห่วงอยู่แต่สิ่งเดียว)

แล้วเราก็ออกเดินทาง เรือลำนี้เครื่องยนต์ดีสมบูรณ์ มันจึงออกเดินหน้าเต็มกำลัง น้ำกำลังขึ้นและอีกไม่นานจะเข้าสู่ขาลง เข็มทิศตั้งไปยังเกาะไข่ เกาะกึ่งกลางระหว่างตะรุเตาและหลีเป๊ะ กลุ่มเกาะตรงนี้จึงถูกเรียกว่าเกาะกลาง เกาะที่ถูกใช้เป็นที่ให้อาณัติสัญญาณของกลุ่มโจรสลัดแห่งตะรุเตาเมื่อสมัยนู้น เมื่อเรือลำใดผ่านเข้าในร่องน้ำตะรุเตา พวกเขาก็จะถูกปล้น มันคือเกาะกลางในตำนาน แต่เราไม่เข้าเกาะกลาง เกาะเล็กๆด้านหน้าที่ชื่อเกาะไข่ คือที่หมายสำคัญ

เราทักทายเกาะกลางด้วยการดริ๊พเรือ เสียงกรี๊ดของเด็กๆและสาวๆเรียกให้ตื่นจากความเคลิ้มง่วง

ซุ้มสะพานหินโค้งที่สวยงามของเกาะไข่ คือที่มาของการแวะเพื่อถ่ายรูปของทัวร์ทุกคณะ ผมผ่านมาที่นี่เป็นครั้งที่ ๓ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้กระโดดลงจากเรือและวิ่งไปที่สะพานหินโค้งนั่นเพื่อถ่ายรูป ผมเพิ่งถึงเกาะไข่จริงๆเสียทีสินะ

เกือบ ๓ โมงแล้ว น้ำกำลังเริ่มลงมากขึ้น เรือจึงรีบออกแล้วหันหน้าเข้าหลีเป๊ะ

อากาศยามนี้กำลังดี แดดเริ่มคล้อย

“มันคงเป็นข้อดีของการที่เรือเสียสินะ เราจึงเสียเวลารอจนแดดเริ่มร่ม ลมพัดตีหน้าเย็นสบาย” ผมรำพึง

“หลีเป๊ะ” เกาะขนาดเล็กและแบนราบเมื่อเทียบกับอาดัง เกาะตรงข้ามซึ่งสันฐานเป็นภูเขาสูงทะมึน

ทันทีที่เรือเข้าเขตหลีเป๊ะ ความเร็วก็ลดลงในทันที น้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มเปลี่ยนเป็นสีฟ้าใส มันใสกิ๊งจนเห็นพื้นทราย โขดหิน และกลุ่มปะการัง เด็กๆตื่นใจพากันชะโงกหน้ามองลงไปดูร้องอื้อฮือ กัปตันค่อยๆพาเรือย่องๆเข้าผ่านร่องน้ำที่เหลือเพียงน้อยนิด 

เราได้จอดที่หน้ารีสอร์ท แต่เรือจะจอดได้ไม่นานนัก เพราะเกรงว่าจะออกไม่ได้ เราจึงต้องรีบลง ปล่อยให้การขนข้าวของสัมภาระอยู่ที่ไกด์และคนของโรงแรม

หลังจากจัดแจงเรื่องห้องหับเสร็จสิ้นก็รีบลงทะเล พวกเราดูเหมือนชาวเขาที่ไม่เคยเห็นทะเล แดดช่วงบ่ายสี่โมงมันไม่น่ากลัวเท่าการไม่ได้ลงทะเล ผมไปยืมเรือแคนูมาได้ลำหนึ่ง จึงรีบจัดสรรคนที่แย่งกันพาย

ทางรีสอร์ทบอกว่า ช่วงเวลาน้ำลง ห้ามพายเข้าเขตปะการัง ข้อตกลงของอุทยานคือการรักษาแนวปะการัง ดังนั้น เมื่อถึงเวลานัดหมายก็ต้องคืนเรือ

(เรื่องขำขัน: เสื้อชูชีพที่ยืมมานั้น ผมเลือกขนาดเล็ก เพราะต้องพายกับเด็ก ดังนั้น เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนคนพาย ครั้งหนึ่งมีแต่ผู้ใหญ่ และใหญ่ได้ทั้งตัว คนหนึ่งติดกิ๊ปเสื้อชูชีพไม่ได้ เขาจึงใส่แบบเสื้อกั๊ก แต่คนหนึ่งเป็นคนฉลาด พยายามติดกิ๊ปจนสำเร็จ พายเรืออย่างถูกกฏและปลอดภัย แต่แม่เจ้า ถ่ายรูปออกมา พาลให้นึกถึงคนพุงพลุ้ยใส่ยกทรงพายเรือ หัวเราะกันเยี่ยวเล็ด)

มื้อเย็นถูกนัดไว้ ๖ โมง

“รักษ์เล” คือชื่อร้านอาหารบนถนนคนเดินของหลีเป๊ะ

ด้วยความเห็นส่วนตัว ถนนคนเดินไม่เหมาะกับหลีเป๊ะ มันดูคล้ายตลาดโต้รุ่งบนเกาะที่เคยสงบสุข ผู้คนพลุกพล่าน นักท่องเที่ยวเดินหาของกิน ผมนึกในใจว่าเราน่าจะกินในรีสอร์ท แต่ก็เถอะ อาหารรีสอร์ทมักจะไม่ถูกปาก อีกทั้งราคาก็แพง คนจึงออกมาหาของกินกันบนถนนสายนี้

ผมแอบคิดถึงพริกน้ำปูที่เคยถูกเสิร์ฟในการมาเที่ยวครั้งนั้น ความมืดสงัดเมื่อถึงเวลาปิดเครื่องปั่นไฟ แต่จะนึกไปทำไมในเมื่อนั่นมันคืออดีต ปัจจุบันตรงหน้ามันคือ กุ้งนึ่ง ปลาทอด หลอดหลอดผัดพริกไทยดำ ผัดผักรวม หมึกย่าง และผลไม้ตามฤดูกาล ด้วยความหิวและเพลีย มันจึงหมดเรียบในเวลาไม่นาน ตบท้ายด้วยโรตีข้างทางอีกเล็กน้อย

ก่อนนอนคืนนี้ เราจึงเปิดลังโฟมที่เตรียมมา ถั่วต่างๆ และหอยเชลอบแห้งตัวเขื่องจากญี่ปุ่นถูกจัดวางคู่กัน มันอร่อยพอดีกับบรรยากาศที่เป็นอยู่ ห้องพี่แดงถูกใช้เป็นที่รวม ทะเลอยู่ตรงหน้าไร้คลื่นลม แสงสีเขียวจากเรือไดหมึกลอยลำไกลลิบไม่กี่ลำ แสงฟ้าแลบและฟ้าร้องครืนๆดังแว่วมาจากแผ่นดินใหญ่ ผมมองเห็นเมฆลอยต่ำเมื่อแสงฟ้าวูบส่องลงมายังท้องทะเลเบื้องหน้า นั่นคือเวลาที่ทุกครอบครัวต้องแยกย้ายกันไปนอน เวลาก็ปาเข้าไปเกือบจะสี่ทุ่ม

ฝนตกดังซู่ใหญ่ หลับสบายเชียว

ข้างตัวผมก็คือจิ๋ม เธอหลับง่าย 

ในคืนที่พวกเรามาหลีเป๊ะครั้งแรกนั้น จิ๋มถูกกระพรุนไฟเล่นงานที่ขาซ้าย รอยไหม้มันเห็นชัดจนน่าหวาดเสียว แม้ความระบมจะลดลงได้จากยาพาราที่พวกเราเตรียมมา แต่ในคืนนั้น ผมเลือกที่จะนอนข้างๆเธอ ไม่รู้ว่าเพราะห่วง หรือเพราะอยากอยู่ใกล้ๆ ปล่อยให้เพื่อนๆเล่นไพ่กันจนดึกแล้วแยกย้ายกันไปนอนในที่ทางของตัวเอง

เฮ้ย..หรือนั่นคือรักแรกเชียวนะ 

...............

๒๑ เมย ๖๑

เช้าวันแรกบนหลีเป๊ะ ผมตื่นเช้าเพื่อที่จะวิ่งออกำลังกายบนชายหาด

แต่ครั้นเมื่อได้ย่ำบนผืนทรายเลยได้เปลี่ยนใจ ทรายหยาบ เท้าจมเพราะความร่วน ความลาดเทของหาดที่แม้เพียงการเดินก็ยังเมื่อยน่อง และอีกทั้งพลพรรคหมู่หมาด้านหน้านั้นมีมากมายตามรายทาง จึงตัดสินใจนั่งมองทะเลแทน

ชายหาดยามเช้าดูไม่สะอาด ร่องรองเศษขยะมีให้เห็นตามรายทาง ผมรู้สึกเสียดาย

หลังจากกินอาหารเช้ากันเรียบร้อยก็เตรียมไปเที่ยวทะเลกัน เรามีนัดกับไกด์อี๊ฟเวลา ๑๐ โมง เวลานัดค่อนข้างสายเพราะน้ำจะเริ่มสูงช่วงนั้น

จุดแรกของการแวะเรือคือหาดทางตอนใต้ของเกาะอาดัง เราเห็นเรือหลายลำแวะอยู่ คนลอยน้ำดูปะการังอยู่กระจัดกระจาย ลูกสาวของผมทั้งคู่ใช้สน็อคเกิ้ลคล่องแล้ว การหายใจด้วยท่อมิได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ผมดูแลน้องจ้าเพียงไม่นาน เมื่อเห็นว่าเธอจัดการตัวเองได้ดี ก็ปล่อยมือ เพียงแค่ดูและเว้นระยะห่างพอจ้วงถึง เจ้าตัวเล็กสุดของทีม “ออริน” ใช้เพียงแว่นว่ายน้ำก็สามารถจัดการตัวเองได้อย่างดี

การที่ลูกๆว่ายน้ำเป็นตั้งแต่เล็กๆ มันก็ดีเช่นนี้

“เกาะราวี”

เกาะใหญ่ทางตอนใต้ลงมาคือจุดที่สองที่จะแวะและเป็นที่ที่จะกินข้าวมื้อเที่ยง เราได้ลอยน้ำดูปลากันที่นี่อีกรอบ

เรือเข้ามาจอดมากมาย คงเพราะเป็นจุดทานข้าวและพักเรือ ผู้คนล้นหลามจนแทบจะกังวลว่าเกาะจะจมน้ำ (บ้าไปแล้ว) จุดนี้สนุกเพราะข้าวอร่อย กินเสร็จก็แช่น้ำ บ้างก็เลือกที่จะก้มหน้าทักทายกับปลาริมหาด ส้มตำถูกนำมาเสิร์ฟตบท้ายอย่างเอร็ดอร่อยและลงตัว

“เกาะหินงาม” คือจุดหมายต่อไป 

ผมมาที่นี่เป็นครั้งที่ ๓

ครั้งแรกมาเยี่ยมเมื่อดวงตะวันกำลังจะจมน้ำ แสงแดดอ่อนแรงมากจนหินไม่มีความร้อน นักเรียนแพทย์ทั้ง ๙ ชีวิตจึงนอนถ่ายรูปกันน่าเอ็นดู

มาครั้งที่ ๒ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกาะหินงามมีก้อนหินถูกจัดเป็นกองเล็กกองน้อยกระจายทั่วไป ต่างคนต่างสร้างเจดีย์ของตนแล้วจากไป คราวนั้นอากาศร้อนจนต้องรีบออกจากเกาะ

มาครั้งนี้ล่วงเข้าบ่ายโมง แดดกำลังแผดเผา ไกด์บอกว่าให้สวมรองเท้าเพราะหินร้อนมาก และมันก็เป็นจริงตามนั้น เขายังห้ามจัดหินเป็นกองเจดีย์เพราะจะทำให้ระบบนิเวศน์เสียหาย ซึ่งผมรู้สึกยินดียิ่งนัก

มาถึงที่นี่ ผมมองเห็นแสงแดดสีทองอร่ามเพราะดวงอาทิตย์คล้อยต่ำในปี ๒๕๓๘ นักศึกษาแพทย์ทั้ง ๙ คนมีความสุขกับความมหัศจรรย์ของเกาะหินล้วนแห่งนี้ ผมขอถ่ายรูปคู่กับเมียในอนาคตรูปหนึ่ง

ฮ่าย.. แม่.. มาถ่ายรูปกับพ่อหน่อย 

ผมหัวเราะกับความเฟลในใจ “คนเยอะชิ๊บเป๋ง”

“กองหินจาบัง” กองหินใต้น้ำที่ทำให้ผมรู้จักปะการังอ่อนสีต่างๆเป็นครั้งในชีวิต แมงกระพรุนที่ผมเห็นเป็นคนแรกมันลอยเข้ามาหาจิ๋มและปล่อยให้สายของมันพันขาของเธอ การลอยน้ำครั้งนั้นมันจบลงด้วยความเจ็บปวด

มาเที่ยวคราวนี้ผมจึงพกน้ำส้มสายชูติดมือมาด้วย

แต่ท้ายที่สุด พวกเราก็ไม่ได้ลงน้ำที่นี่ เพราะกระแสน้ำไหลกำลังแรง และมองไม่เห็นปะการัง

ผมกลับแอบรู้สึกโล่งใจลงสักหน่อยแฮะ

เรือเราเบี่ยงหัวกลับหลีเป๊ะในทันที

ผมเลือกยืนที่หัวเรือและปล่อยให้แดดเผาผิวให้เกรียม พี่แป้งออกมายืนด้วยกัน กัปตันสบตาผมแล้วถามว่า “พี่พร้อมรึยัง”

ผมปรับกล้องโทรศัพท์เป็นโหมดวิดีโอ “พร้อม”

แล้วเขาก็ดริ๊พเรือให้วูบเอียงลงในทันที

“กรี๊ดดดดดด” นั่นคือเสียงของลูกทัวร์ด้วยความสะใจบ้าง สะเทือนไส้บ้าง เด็กๆสนุกกันถ้วนหน้าเพียง ๓๐ บาท (เอ๊ย..นั่นมัน ๓๐ บาทรักษาทู้กกกกโรคเฟ้ย)

ถึงฝั่ง ส่วนหนึ่งลงเล่นน้ำในสระกันต่อ 

“แป้ง ไปอาบน้ำก่อนไหมลูก” ผมถามลูกคนโต

“แป้งอยากพายเรือ”

“ได้ งั้นไปกัน” ผมสนองได้ในทันที

หลีเป๊ะในวันที่สองเล่นเอาเหนื่อย เหนื่อยจนโคลงเคลง แต่เอ๊ะ..หรือว่ามันโคลงเคลงเพราะวงสนทนาก่อนนอนกันแน่หนา ผมเหลือบมองเห็นขวดไวน์ ๒ ขวดที่เพิ่งหมดไปเมื่อครู่

........................

๒๒ เมย ๖๑ เป็นเช้าวันที่สองบนหลีเป๊ะ 

ผมตื่นเช้าก่อน ๖ โมง เพราะอยากดูดวงตะวันโผล่จากทะเล แต่ผมผิดหวัง เพราะมันกลับแง้มโผล่ออกมาจากของเกาะกลางแทน แฮร่..

ทีมเรานัดกันว่าจะลงทะเลทางหาดด้านทิศใต้ของรีสอร์ทเรา เล่ามาเสียดูเหมือนไกล อันที่จริงก็เพียง ๕๐ เมตรตรงข้างโขดหินนั่น

“แม่เจ้า!” ผมตื่นตะลึงกับความละเอียดแน่นของผืนทราย ผมพาเด็กๆลงทะเลและพาเข้าใกล้โขดหินเบื้องหน้า

“แม่เจ้า!” ผมอุทานอีกหน ปะการังและดอกไม้ทะเล ปลานานาพันธุ์มันมารวมอยู่ตรงนี้เสียมากมาย

“วินครับ เราจะต้องกลั้นหายใจให้นานพอที่จะลอยไปถึงแนวทรายตรงนั้นได้ไหม” ผมนัดแนะกับเจ้าหนุ่มน้อย เพื่อบอกว่า เราจะไม่เหยียบอะไรก็ตามที่ไม่ใช่พื้นทราย เราจะไม่สร้างความเสียหายให้กับความสวยงามเบื้องล่าง

ผมรู้สึกเสียดายที่มาเห็นตรงนี้ในเวลา ๙ โมง แดดกำลังย่างตัวได้พอดี ดังนั้น เราจึงเล่นน้ำได้เพียงชั่วโมงเดียวจึงยอมแพ้ และขึ้นไปอาบน้ำ จัดของและเตรียมตัวลงเรือกลับบ้าน

สนุกนะครับ

การเที่ยวสนุกเสมอไม่ว่าจะเจออะไร บางครั้งผมก็นึกหาคำตอบ ว่าความสนุกเกิดจากอะไร

อย่างการเที่ยวครั้งนี้ ผมสนุกเพราะพวกเราได้ไปกับเพื่อนๆ 

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้กลับไปเป็นนักศึกษาแพทย์ที่เพิ่งเรียบจบชั้นปีที่ ๕

ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้กลับไปเหยียบผืนทรายที่ตะรุเตา ที่ที่ผมรู้สึกว่าเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ได้ขยับความใกล้ชิดเข้ามาจนผมอยากจะบอกเธอเหลือเกินว่า “ถวิลหา”

กลับมาถึงบ้านก็เปิดอัลบัมรูปชุดนั้นออกมาดู

“แป๊ะ เธอคิดอะไรกับจิ๋มรึเปล่า” เธอผู้มีชื่อว่า “หญิงต้อย” พูดออกมา

“ทำไมรึ” ผมรู้สึกวูบๆ ใจสั่นๆ

“ก็ชั้นสังเกตเห็นว่า รูปถ่ายเกือบทุกรูป เธอยืนชิดจิ๋มตลอดเชียว” ช่างมองนัก

“บ้าเหรอ” ผมตอบออกไป

“ใครจะไปรู้ล่ะ”

ธนพันธ์ ชูบุญก็ใครมันจะไปรู้ล่ะ

๒๔ เมษายน ๖๑

หมายเลขบันทึก: 646728เขียนเมื่อ 25 เมษายน 2018 14:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน 2018 14:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

หลีเป๊ะที่อยากไปมานานแล้ว  อ่านแล้วเหมือนได้ไปแล้วค่ะ สนุกมากค่ะ 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท