พุทธวิธีในการสอน


https://goo.gl/oF5SZD

พุทธวิธีในการสอน

ดร.ถวิล  อรัญเวศ

รอง ผอ.สพป.นครราชสีมา เขต 4

บทนำ

        เราคงได้ยินบทสวดที่ว่า  สตฺถา เทวมนุสฺสานํ (พระพุทธจ้าทรงเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย — the teacher of gods and men)

         อานนท์ การแสดงธรรมให้คนอื่นฟัง มิใช่สิ่งที่กระทำโดยง่าย ผู้แสดงธรรมแก่คนอื่นพึงตั้งธรรมห้าอย่างไว้ในใจ คือ

        1. เราจักกล่าวชี้แจงไปตามลำดับ

        2. เราจักกล่าวชี้แจงยกเหตุผลมาแสดงให้เข้าใจ

        3. เราจักแสดงด้วยอาศัยเมตตา

        4. เราจักไม่แสดงด้วยเห็นแก่อามิส

        5. เราจักแสดงไปโดยไม่กระทบตนและผู้อื่น      (องฺ.ปญฺจก. ๒๒/๑๕๙/๒๐๕)

       พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระบรมครู ยอดครูของผู้สอนคน พระองค์ทรงมีหลักการในการสอนมากมายหลายหลักการ ที่เรียกกันว่า “หลัก 4 ส” เพราะแต่ละข้อขึ้นด้วยอักษร ส คือ

           1. สันทัสสนา อธิบายให้เห็นชัดแจ้ง เหมือนจูงมือให้มาดูด้วยตาพูดอธิบายให้ผู้ฟังแจ้งจางปาง ไม่มีข้อสงสัยว่าอย่างนั้นเถอะ เรียกสั้นๆ ว่า “แจ่มแจ้ง”

          2. สมาทปนา ชักจูงให้เห็นจริงเห็นจังตาม ชวนให้คล้อยตามจนยอมรับเอาไปปฏิบัติ เรียกสั้นๆ ว่า “จูงใจ”

          3. สมุตตเตชนา เร้าใจให้เกิดความกล้าหาญ มีกำลังใจ มั่นใจว่าทำได้ไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคที่พึงมีมา ไม่ว่าจะใหญ่และยากสักปานใดก็ตามเรียกสั้นๆ ว่า “หาญกล้า”

          4. สัมปหังสนา มีวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้ฟังร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบื่อ เปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง เพราะมองเห็นคุณประโยชน์ที่ตนพึงได้รับจากการปฏิบัติ เรียกสั้นๆ ว่า “ร่าเริง”

         มีเรื่องเล่าจากพุทธประวัติว่า หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ไม่นาน พระองค์ทรงพิจารณาด้วยพระองค์เองว่า หลักธรรมที่ได้ตรัสรู้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งละเอียดอ่อน ยากที่คนจะเข้าใจได้ แต่ก็ทรงเห็นว่า ก่อนที่จะได้ตรัสรู้เคยไปบำเพ็ญเพียรกับอาฬารดาบส กาลามโคตรและอุทกดาบส รามบุตร แต่ท่านทั้งสองได้ถึงแก่กรรมแล้ว จึงทรงหวนระลึกถึงพระปัญจวัคคีย์ ที่ได้เคยรับใช้พระพุทธองค์ จึงทรงตัดสินพระทัยว่าจะไปแสดงธรรมโปรดพระปัญจวัคคีย์ คือโกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ และหลังจากทรงแสดงธรรมจบ พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรมสำเร็จเป็นพระโสดาบัน นับเป็นพระสงฆ์รูปแรกในทางพระพุทธศาสนา

 

พุทธวิธีในการสอน

        พุทธวิธีในการสอนหรือวิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพุทธบริษัท 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสิกา อุบาสิกา จนได้รับยกย่องว่า  สตฺถา  เทวมนุสฺสานํ  ทรงเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย นั้น พระองค์มีวิธีในการสอนดังนี้ (วศิน อินทสระ, 2538 : 8-37)  

          1. ทรงสอนโดยวิธีเอกังสลักษณะ คือทรงสอนยืนยันไปข้างเดียว เช่น ความดีมีผลเป็นสุข ความชั่วมีผลเป็นทุกข์  หรือกุศลเป็นสิ่งที่ควรบำเพ็ญ  อกุศลเป็นสิ่งที่ควรละเว้น

          2. ทรงสอนโดยวิธีภัชชลักษณะ คือทรงแยกประเด็นให้เห็นชัดเจน  เป็นปัญหาที่ไม่สามารถตอบโดยประเด็นเดียว แต่ต้องแยกตอบให้เห็นได้อย่างชัดเจน

          3. ทรงสอนด้วยปฏิปุจฉาลักษณะ คือ ปัญหาที่ควรตอบโดยย้อนถามเสียก่อน  เช่น จักษุฉันใด โสตะฉันนั้น  โสตะฉันใด  จักษุก็ฉันนั้น  ใช้ไหม..?  พึงย้อนถามว่ามุ่งความหมายในแง่ใด  ถ้าถามโดยหมายถึงแง่ให้ดูหรือเห็น  ก็ไม่ใช่  แต่ถ้ามุ่งหมายแง่ว่าไม่เที่ยงก็ใช่

           4.  ทรงสอนด้วยฐปนลักษณะ  คือ  พักปัญหาไว้ไม่พึงพยากรณ์  คือปัญหาที่พึงยับยั้ง  หรือพับเสีย  ไม่ควรตอบเรื่องนั้น  เช่น  ถามว่า  ชีวะกับสรีระ  คือสิ่งเดียวกัน ใช่ไหม..?

           5. ทรงสอนด้วยอุปมาลักษณะ   คือทรงสอนแบบเปรียบเทียบ  เช่นทรงเปรียบเทียบภิกษุด้วยผ้าเปลือกไม้และผ้ากาสี  ทรงเปรียบเทียบมักขลิโคศาลว่าเหมือนผ้าที่ทำด้วยผมคน  ซึ่งเป็นวิธีการที่ทรงใช้บ่อยมากที่สุด  เพราะทำให้ผู้ฟังมองเห็นภาพและเข้าใจง่าย  โดยไม่ต้องใช้เวลามากและยาวนาน  คำอุปมาช่วยให้เรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจยากปรากฏหมายความเด่นชัดเจนออกมา

          6. ทรงใช้กลยุทธ์ในการสอนหลายแบบตามแต่สถานการณ์ เช่น

               6.1 ทรงสอนอย่างละมุนละม่อม  ดังที่ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า  “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายจะเป็นความงามหาน้อยไม่  ถ้าพวกเธอผู้บวชในธรรมวินัยที่เรากล่าวไว้ดีแล้วนี้  จะพึงเป็นผู้มีความอดทน  มีความสุภาพ”

               6.2 ทรงสอนอย่างเข้มงวดรุนแรง การสอนในลักษณะนี้เป็นการสอนที่รุนแรงของพระพุทธองค์ ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับอุปนิสัยหรืออินทรีย์ของเวไนยสัตว์ทำนองเดียวกันกับช่างเหล็กจะต้องใช้ไฟแรงแก่เหล็กที่แข็งกล้า

            7. ทรงใช้หลักการสอนให้เหมาะสมกับเนื้อหา ผู้เรียน (คนฟัง) คนฟังมีภูมิหลังอย่างไร ก็จะสอนให้เหมาะสมกับภูมิรู้เดิมของคนนั้น

 

เกี่ยวกับเนื้อหาที่สอน

          1. ทรงสอนจากสิ่งที่รู้เห็นเข้าใจง่ายหรือรู้เห็นเข้าใจอยู่แล้ว ไปหาสิ่งที่เห็นเข้าใจได้ยากหรือยังไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจ

          2. ทรงสอนตามลำดับเนื้อหา จากธรรมดา ไปหาเรื่องายากที่ลึกซึ้ง หรืออนุบุพพิกถา..

          3. ทรงสอนด้วยยกตัวอย่างของจริง ถ้าสิ่งที่สอนเป็นสิ่งที่แสดงได้ก็สอนด้วยของจริงให้ผู้เรียนได้ดู ได้เห็น ได้ฟังเอง อย่างที่เรียกว่าประสบการณ์ตรง

          4. ทรงสอนตรงเนื้อหา ตรงเรื่อง คุมอยู่ในเรื่อง มีจุด ไม่วกวน ไม่ไขว้เขว ไม่ออกนอกเรื่องโดยไม่มีอะไรเกี่ยวข้องในเนื้อหา

          5. สอนมีเหตุผล ตรองตามเห็นจริงได้ อย่างที่เรียกว่า  สนิทานํ

          6. ทรงสอนเท่าที่จำเป็นพอดี สำหรับให้เกิดความเข้าใจ ให้การเรียนรู้ได้ผล ไม่ใช่สอนเท่าที่ตนรู้ หรือสอนแสดงภูมิว่าผู้สอนมีความรู้มาก

          7. ทรงสอนสิ่งที่มีความหมาย ควรที่เขาจะเรียนรู้ และเข้าใจ เป็นประโยชน์แก่ตัวเขาเอง พระพุทธองค์ทรงมีพระเมตตา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย จึงตรัสพระวาจาตามหลัก  6  ประการคือ

             7.1 คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รัก ที่ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส

             7.2 คำพูดที่จริง ถูกต้อง แต่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส

             7.3 คำพูดที่จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - เลือกกาลตรัส

             7.4 คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ ถึงเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส

             7.5 คำพูดที่จริง ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ ถึงเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส

             7.6 คำพูดที่จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น เลือกกาลตรัส ลักษณะของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ คือ ทรงเป็นกาลวาที   สัจจวาที  ภูตวาที อัตถวาที ธรรมวาที   วินัยวาที

 

เกี่ยวกับผู้เรียน

         พระพุทธองค์จะทรงสอนใคร ก็จะพิจารณาให้

เหมาะสมกับอุปนิสัยพื้นเพเดิมของคนนั้นๆ เสียก่อน เช่น

         1. ทรงคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และสอนให้สอคล้องกับความแตกต่างนั้น

         2. ปรับวิธีสอนผ่อนให้เหมาะกับบุคคล แม้สอนเรื่องเดียวกันแต่ต่างบุคคล อาจใช้วิธีสอนต่างกัน

         3. ทรงคำนึงถึงความพร้อม (วุฒิภาวะ) ความสุกงอม ความแก่รอบแห่งอินทรีย์หรือญาณที่บาลี เรียกว่าปริปาะ ของผู้เรียนแต่ละบุคคลเป็นราย ๆ ไปด้วย

          4. สอนโดยให้ผู้เรียนลงมือทำด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจชัดเจน แม่นยำและได้ผลจริง เช่น   ทรงสอนพระจูฬปันถกผู้โง่เขลาด้วยการให้นำผ้าขาวไปลูบคลำ...

           5.  ทรงดำเนินการสอนที่ผู้เรียนกับผู้สอนมีบทบาทร่วมกัน ในการแสวงความจริง ให้มีการแสดงความคิดเห็นโต้ตอบเสรี  หลักนี้เป็นข้อสำคัญในวิธีการแห่งปัญญา ซึ่งต้องการอิสรภาพในทางความคิด และโดยวิธีนี้เมื่อเข้าถึงความจริง ผู้เรียนก็จะรู้สึกว่าตนได้มองเห็นความจริงด้วยตนเอง และมีความชัดเจนมั่นใจ หลักนี้เป็นหลักที่พระพุทธเจ้าทรงใช้เป็นประจำ และมักมาในรูปการถาม-ตอบ เอาใจใส่บุคคลที่ควรได้รับความสนใจพิเศษเป็นรายๆ ไปตามควรแก่กาลเทศะ และเหตุการณ์... ช่วยเหลือเอาใจใส่คนที่ด้อย ที่มีปัญหา

          6. เอาใจใส่บุคคลที่ควรได้รับความสนใจพิเศษเป็นรายๆ  ไปตามควรแก่กาลเทศะ  และเหตุการณ์  เช่น  ชาวนาคนหนึ่งตั้งใจไว้แต่กลางคืนว่าจะไปฟังพุทธเทศนา  บังเอิญวัวหายก็รีบออกไปตามหาจนได้วัวกลับมาแล้วก็รีบไปฟังธรรมแต่ก็ช้ามาก  แต่ใจก็มุ่งมั่นคิดว่าทันฟังตอนท้ายหน่อยก็ยังดี  ไปถึงวัดปรากฏว่าพระพุทธเจ้ายังทรงประทับรอนิ่งๆ  ไม่เริ่มแสดง  ยิ่งกว่านั้นยังจัดหาอาหารให้เขารับประทานจนอิ่มสบาย  แล้วจึงทรงเริ่มแสดงธรรม  เป็นต้น

           7. ช่วยเอาใจใส่คนที่ด้อยมีปัญหา หรือปัญญาอ่อน

หรือมีลักษณะพิเศษ ก็ให้กำลังใจ กระตุ้น เร่งเร้า

 

 เกี่ยวกับเทคนิคการสอน

         1. การเริ่มต้นจุดสำคัญ การเริ่มต้นที่ดีมีส่วนช่วยให้การสอนสำเร็จผลดีเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็เป็นเครื่องดึงความสนใจและนำเข้าสู่เนื้อหาได้ พระพุทธเจ้าทรงมีวิธีเริ่มต้นที่น่าสนใจมาก โดยปกติพระองค์จะไม่ทรงเริ่มสอนด้วยการเข้าสู่เนื้อหาธรรมที่เดียว แต่จะทรงเริ่มสนทนากับผู้ทรงพบหรือผู้มาเฝ้าด้วยเรื่องที่เขารู้เข้าใจดี หรือสนใจอยู่

        2. สร้างบรรยากาศในการสอนให้ปลอดโปร่งเพลิดเพลินไม่ให้ตึงเครียด ไม่ให้เกิดความอึดอัดใจ และให้เกียรติแก่ผู้เรียน ให้เขามีความภูมิใจในตัว

        3.  สอนมุ่งเนื้อหา มุ่งให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่สอนเป็นสำคัญ ไม่กระทบตนและผู้อื่น ไม่มุ่งยกตน ไม่

มุ่งเสียดสีใครๆ...

        4.  สอนโดยเคารพ คือ ตั้งใจสอน ทำจริง ด้วยความรู้สึกว่าเป็นสิ่งมีค่า มองเห็นความสำคัญของผู้เรียน และงานสั่งสอนนั้น ไม่ใช้สักว่าทำ หรือเห็นผู้เรียนโง่เขลา หรือเห็นเป็นชั้นต่ำๆ

        5.  ใช้ภาษาสุภาพ นุ่มนวล ไม่หยาบคาย ชวนให้สบายใจ สละสลวย เข้าใจง่าย   พระสมณโคดมมีพระดำรัสไพเราะ  รู้จักตรัสถ้อยคำได้งดงาม  มีพระวาจาสุภาพสละสลวย  ไม่มีโทษ  ยังผู้ฟังให้เข้าใจเนื้อความได้ชัดแจ้ง

       ขอนำพุทธพจน์แห่งหนึ่ง ที่ตรัสสอนภิกษุผู้แสดงธรรมเรียกกันว่า องค์แห่งพระธรรมกถึก มาแสดงไว้ดังนี้

       "อานนท์ การแสดงธรรมให้คนอื่นฟัง มิใช่สิ่งที่กระทำได้ง่าย ผู้แสดงธรรมแก่คนอื่น พึงตั้งธรรม 5  อย่างไว้ในใจ  คือ

               1.  เราจักกล่าวชี้แจงไปตามลำดับ

               2.  เราจักกล่าวชี้แจงยกเหตุผลมาแสดงให้เข้าใจ

               3.  เราจักแสดงด้วยอาศัยเมตตา

               4.  เราจักไม่แสดงด้วยเห็นแก่อามิส

               5.  เราจักแสดงไปโดยไม่กระทบตน และผู้อื่น

 

ลีลาการสอน

        คุณลักษณะซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลีลาในการสอน  4  อย่าง ดังนี้

      1.  ทรงอธิบายให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง เหมือจูงมือไปดูเห็นกับตาตนเอง (สันทัสสนา)

      2. ทรงชักจูงใจให้เห็นจริง ด้วยชวนให้คล้อยตามจนต้องยอมรับและนำไปปฏิบัติ (สมาทปนา)

      3.  ทรงเร่งเร้าใจให้แกล้วกล้า บังเกิดกำลังใจ ปลุกให้มีอุตสาหะแข็งขัน มั่นใจว่าจะทำให้สำเร็จได้ ไม่หวั่น ไม่ย่อต่อ

ความเหนื่อยยาก (สมุตตเตชนา)

      4.  ทรงชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบื่อ และเปี่ยมด้วยความหวัง เพราะมองเห็นคุณประโยชน์ที่ตนจะพึงได้รับจากการปฏิบัติ  (สัมปหังสนา)

       อาจผูกเป็นคำสั้นๆ  ได้ว่า  แจ่มแจ้ง - จูงใจ - หาญกล้า - ร่าเริง   หรือ  ชี้ชัด - เชิญชวน  คึกคัก  -  เบิกบาน

 

วิธีสอนแบบต่างๆ

       วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า มีหลายแบบหลายอย่าง ที่น่าสังเกต หรือพบบ่อย คงจะได้แก่วิธีต่อไปนี้    

1.  สนทนา (แบบสากัจฉา)

2.  แบบบรรยาย

3.  แบบตอบปัญหา ท่านแยกประเภทปัญหาไว้ตามลักษณะวิธีตอบเป็น 4 อย่างคือ

          3.1 ปัญหาที่พึงตอบตรงไปตรงมาตายตัว ...

(เอกังสพยากรณียปัญหา)

          3.2 ปัญหาที่พึงย้อนถามแล้วจึงแก้ ... (ปฎิปุจฉาพยากรณียปัญหา)

          3.3 ปัญหาที่จะต้องแยกความตอบ ... (วิภัชชพยากรณียปัญหา)

          3.4 ปัญหาที่พึงยับยั้งเสีย  (ฐปนียปัญหา) 

               ได้แก่ปัญหาที่ถามนอกเรื่องไร้ประโยชน์ อันจักเป็นเหตุให้เขว ยืดเยื้อ สิ้นเปลืองเวลาเปล่า พึงยับยั้งเสีย  แล้วชักนำผู้ถามกลับเข้าสู่แนวเรื่องที่ประสงค์ต่อไป

4. แบบวางกฎข้อบังคับ   เมื่อเกิดเรื่องมีภิกษุกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นเป็นครั้งแรกก็ทรงบัญญัติเป็นวินัยหรือข้อห้ามไว้

 

กลวิธีการสอน

     1. ทรงยกอุทาหรณ์และการเล่านิทานประกอบ

การยกตัวอย่างประกอบคำอธิบาย และการเล่านิทานประกอบการสอนช่วยให้เข้าใจความได้ง่ายและชัดเจน  ช่วยให้จำแม่นยำ   เห็นจริงและเกิดความเพลิดเพลิน ทำให้การเรียนการสอนมีรสยิ่งขึ้น...

     2.  ทรงเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมา คำอุปมาช่วยให้เรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจยากปรากฏความหมายเด่นชัดออกมา และเข้าใจง่ายขึ้น โดยเฉพาะมักใช้ในการอธิบายสิ่งที่เป็นนามธรรม หรือแม้เปรียบเรื่องที่เป็นรูปธรรมด้วยข้ออุปมาแบบรูปธรรม ก็ช่วยให้ความหนักแน่นเข้า... การใช้อุปมานี้น่าจะเป็นกลวิธีประกอบการสอนที่พระพุทธองค์ทรงใช้มากที่สุด มากกว่ากลวิธีอื่นใด

     3.  ทรงใช้อุปกรณ์การสอน ในสมัยพุทธกาล ย่อมไม่มีอุปกรณ์การสอนชนิดต่างๆ ที่จัดทำขึ้นไว้เพื่อการสอนโดยเฉพาะ เหมือนสมัยปัจจุบัน เพราะยังไม่มีการจัดการศึกษาเป็นระบบขึ้นมากอย่างกว้างขวาง หากจะใช้อุปกรณ์บ้าง ก็คงต้องอาศัยวัตถุสิ่งของที่มีในธรรมชาติ หรือเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ผู้คนใช้กันอยู่

      4.  ทรงทำเป็นตัวอย่าง วิธีสอนที่ดีที่สุดอย่างคือการเป็นแบบอย่างโดยเฉพาะในทางจริยธรรม คือการทำเป็นตัวอย่างซึ่งเป็นการสอนแบบไม่ต้องกล่าวสอนเป็นทำนองการสาธิตให้ดูแต่ที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำนั้นเป็นไปในรูปทรงเป็นผู้นำที่ดี การสอนโดยทำเป็นตัวอย่าง ก็คือ พระจริยวัตรอันดีงามที่เป็นอยู่โดยปกตินั้นเอง แต่ที่ทรงปฏิบัติเป็นเรื่องราวเฉพาะก็มี...

     5. ทรงเล่นภาษา เล่นคำและใช้คำในความหมายใหม่  

การเล่นภาษาและการเล่นคำ เป็นเรื่องของความสามารถในการใช้ภาษาผสมกับปฏิภาณ ข้อนี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของพระพุทธเจ้าที่มีรอบไปทุกด้าน...แม้ในการสอนหลักธรรมทั่วไป พระองค์ก็ทรงรับเอาคำศัพท์ที่มีอยู่แต่เดิมในลัทธิศาสนาเก่ามาใช้ แต่ทรงกำหนดความหมายใหม่  ซึ่งเป็นวิธีการช่วยให้ผู้ฟังผู้เรียนหันมาสนใจ และกำหนดคำสอนได้ง่าย เพียงแต่มาทำความเข้าใจเสียใหม่เท่านั้น และเป็นการช่วยให้มีการพิจารณาเปรียบเทียบไปในตัวด้วยว่าอย่างไหนถูก อย่างไหนผิดอย่างไร จึงเห็นได้ว่า คำว่า พรหม พราหมณ์ อริยะ ยัญ ตบะ ไฟบูชายัญ ฯลฯ ซึ่งคำในลัทธิศาสนาเดิม  ก็มีใช้ในพระพุทธศาสนาด้วยทั้งสิ้น แต่มีความหมายต่างออกไปเป็นอย่างใหม่

     6. ทรงใช้อุบายเลือกคน และการปฏิบัติรายบุคคล การเลือกคนเป็นอุบายสำคัญในการเผยแพร่ศาสนา ใน

การประกาศธรรมของพระพุทธเจ้า เริ่มแต่ระยะแรกประดิษฐานพระพุทธศาสนาจะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงดำเนินพุทธกิจด้วยพระพุทโธบายอย่าง ที่เรียกว่าการวางแผนที่ได้ผลยิ่ง ทรงพิจารณาว่าเมื่อจะเข้าไปประกาศพระศาสนาในถิ่นใดถิ่นหนึ่งควรไปโปรดใครก่อน การรู้จักจังหวะ และโอกาส ผู้สอนต้องรู้จักใช้จังหวะ และโอกาสให้เป็นประโยชน์ ความยืดหยุ่นในการใช้วิธีการ ถ้าผู้สอนสอนอย่างไม่มีอัตตา ตัดตัณหา มานะ ทิฏฐิเสียให้น้อยที่สุด ก็จะมุ่งไปยังผลสำเร็จในการเรียนรู้เป็นสำคัญ  สุดแต่จะใช้กลวิธีใดให้การสอนได้ผลดีที่สุด  ก็จะทำในทางนั้น  ไม่กลัวว่าจะเสียเกียรติไม่กลัวจะถูกรู้สึกว่าแพ้

      7. การลงโทษและให้รางวัล การใช้อำนาจลงโทษ ไม่ใช่การฝึกคนของพระพุทธเจ้า แม้ในการแสดงธรรมตามปกติพระองค์ ก็แสดงไปตามเนื้อหาธรรมไม่กระทบกระทั้งใครการสอนไม่ต้องลงโทษ  เป็นการแสดงความสามารถของผู้สอนด้วย สำหรับผู้สอนทั่วไป อาจต้องคิดคำนึงว่าการลงโทษ  ควรมีหรือไม่ แค่ไหน และอย่างไร แต่ผู้ที่สอนคนได้สำเร็จผล โดยไม่ต้องใช้อาญาโทษเลย ย่อมชื่อว่าเป็นผู้มีความสามารถในการสอนมากที่สุด

      8. ทรงมีกลวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นต่างครั้ง ต่างคราว ย่อมมีลักษณะแตกต่างกันไปไม่มีที่สิ้นสุด การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าย่อมอาศัยปฏิภาณ คือ ความสามารถในการประยุกต์หลัก วิธีการ และกลวิธีต่างๆ มาใช้ให้เหมาะสม เป็นเรื่องเฉพาะครั้ง เฉพาะคราวไป ฯลฯ

 

สรุป

        พุทธวิธีในการสอนของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงใช้หลายวิธีสุดแท้แต่คนที่จะรับฟังธรรมเทศนาว่ามีบารมีแก่กล้ามากน้อยเพียงใด สอนให้สอดคล้องกับบุคคล ทรงหาวิธีสอนเวไนยสัตว์ให้เหมาะสมกับความแตกต่างระหว่างบุคคล ทรงเปรียบบุคคลไว้เป็นประดุจบัว 4 เหล่า เพื่อที่จะให้ผู้ที่ได้รับฟังสามารถเข้าถึงธรรมได้โดยง่าย พระองค์ไม่ใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเพียงวิธีเดียว แต่ทรงใช้หลายๆ วิธีให้เหมาะสมกับอุปนิสัยใจคอภูมิรู้เดิม และความแตกต่างระหว่างบุคคล พยายามใช้สื่อที่มีอยู่ในการเชื่อมโยงความรู้เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจได้โดยง่าย และประการสำคัญคือการเป็นแบบอย่างที่ดีเพราะแบบอย่างที่ดีมีค่ามากกว่าคำสอน ทรงทำให้เป็นตัวอย่าง แล้วคนฟังจะปฏิบัติตามและเข้าใจหลักธรรมนั้น

 

 

------------------------

 

 

แหล่งข้อมูล

https://goo.gl/ZVEprv

https://goo.gl/ix3JDb

https://goo.gl/jTVFKP

https://goo.gl/oF5SZD

หมายเลขบันทึก: 645927เขียนเมื่อ 24 มีนาคม 2018 01:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มีนาคม 2018 01:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท