สุดสะแนน


สุดสะแนน

ธิดารัตน์ สีหะเกรียงไกร

๑.

บนรถประจำทางหมายเลขศูนย์สอง เสียงบีบแตรดังจากทุกทิศทาง พื้นที่ส่วนใหญ่บนท้องถนนเต็มไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์ที่ต่างก็เบียดเสียด ยื้อแย่ง และพยายามหาช่องว่างเพื่อฝ่าความวุ่นวายออกไปให้เร็วที่สุด ผู้คนเดินข้ามถนนจาก

ฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งอย่างง่ายดายแม้มีรถจำนวนมหาศาลวิ่งอยู่ หากใครเพิ่งมาเยือนเมืองนี้คงฉงนสนเท่ห์อยู่ไม่น้อย เพราะฉันเองก็รู้สึกเช่นนั้น ฉันเบนสายตาจากกระจก

ด้านซ้ายมือกลับมาจ้องบนสมาร์ทโฟนอีกครั้ง นิ้วสัมผัสเลื่อนขึ้นลงบนหน้าจอที่ตอนนี้ปรากฏภาพแผนที่ออนไลน์ อีกสามสิบนาทีเท่านั้นก็จะถึงจุดหมายจากตำแหน่งของรถคันนี้ เมื่อรถประจำทางเคลื่อนที่หลังจากไฟเขียวกะพริบค้าง ฉันจึงเบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง มองดูรถราที่หนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเป็นเวลาเลิกงาน ท้องฟ้าในเวลานี้กลับครึ้ม เมฆฝนสีทึมเทาทยอยตั้งเค้าบดบังพื้นที่สีขาวจนเกือบหมด ควันโขมงลอยออกมาจากฟุตปาธด้านหน้าตึกสูงราวห้าชั้น ทว่าแคบเพียงสองเมตรครึ่ง ชั้นแรกของตึกมีโต๊ะและเก้าอี้ตัวเตี้ย ๆ เช่นเดียวกับบริเวณด้านหน้าร้าน มุมหนึ่งเป็นตู้กระจกภายในมีหมูย่างเรียบร้อยแล้ว มีป้าที่ง่วนอยู่กับการตักน้ำซุปและเตรียมเครื่องเคียงอาหาร ส่วนลุงกำลังย่างหมูพร้อมกับจิิบน้ำชาสีเหลืองต่อไปอย่างไม่รีบร้อน และชายหนุ่มกำลังเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าฉันพบกับใครบางคนครั้งแรก ที่นี่...

๒.“โกเอย ชอแอม หมดบุ๋นจ่า หว่า หมดฉ่าด๋า”

ฉันสั่ง “บุ๋นจ่า” และน้ำชาใส่น้ำแข็งหนึ่งแก้ว หนุ่มน้อยพนักงานเสิร์ฟเดินถือถาดมาทางฉัน ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งบนเก้าอี้พลาสติกตัวเตี้ย ๆ เขาบรรจงวางถ้วยน้ำซุปที่มีมะละกอและหมูย่าง จานข้าง ๆ เป็นจานขนมจีน ถัดไปเป็นจานผัก

นานาชนิด ฉันหยิบตะเกียบและช้อนก่อนจะตักพริกสดและกระเทียมหั่นมาใส่ถ้วยน้ำซุป แลว้ คบี ขนมจนี ตามดว้ ยผกั ลงในถว้ ยนัน้ คลกุ เคลา้ สว่ นประกอบใหเ้ ขา้ กนั กอ่ นจะลิ้มรสอาหารที่เรียกได้ว่าอร่อยและขึ้นชื่อของฮานอยเกือบสามเดือนแล้วของการใช้ชีวิตที่นี่ การสื่อสารเริ่มคล่องแคล่ว อาหารรสจืดเริ่มคุ้นลิ้นทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น แต่นั่นก็ไม่นานพอที่จะทำให้ลืมคิดถึง “บ้าน”บ้านที่มีคนที่รัก บ้านที่มีความสะดวกสบาย บ้านที่มีอาหารหลากหลายและรสชาติ

ถูกปากมากินบุ๋นจ่าทีไร ก็ทำให้คิดถึงบ้านทุกครั้ง เพราะรสชาติของบุ๋นจ่าพอบรรเทาความหิว “ส้มตำ” ลงไปได้บ้าง นานเหมือนกันที่ฉันไม่ได้กินเมนูนี้ โดยเฉพาะ

“ตำซั่ว” เมนูโปรดที่หากินได้ง่ายแสนง่ายในเมืองไทย ยิ่งในบ้านเกิดของฉันด้วยแล้วมันคือต้นตำรับเชียวล่ะ ตำซั่วที่ไหนก็คงอร่อยสู้ตำซั่วอีสานไม่ได้ เส้นมะละกอขูดฝอยตำคลุกเคล้ากับน้ำปลาร้าและเครื่องปรุงรสจัดจ้าน ทั้งพริกระเทียม น้ำปลามะเขือเทศ มะนาว ก่อนจะใส่ขนมจีนลงไปตำและคลุกจนเข้ากัน ยิ่งได้นั่งกินกับ

เพื่อน ๆ หรือครอบครัว มีการพูดคุยและเสียงหัวเราะเป็นเครื่องเคียงทำให้มื้อนั้น

“นัว” ขึ้นไปอีก ระหว่างที่ฉันเพลิดเพลินไปกับความคิด ใครคนหนึ่งเดินมานั่งลงข้าง ๆ ก่อนจะทักขึ้นว่า

“สวัสดีครับ”ฉันทำ�ตาโต ไม่แน่ใจว่ารู้สึกตกใจหรือแปลกใจที่ได้ยินคำ�ทักทายภาษาไทยจากคนข้าง ๆ“เป็นคนไทยใช่ไหมครับ” เขาถามต่อ

“ใช่ค่ะ เอ่อ...คุณรู้ได้ไงคะ”ความสงสัยทำ�ให้ฉันถามออกไปแบบนี้ เขาหัวเราะก่อนจะตอบเป็นภาษาเวียดนาม

“ก็ผมเห็นพวงกุญแจที่ห้อยกระเป๋าของคุณเขียนว่า Thailand อีกอย่าง

ฟังจากสำ�เนียงคุณไม่น่าจะใช่คนเวียดนาม”

 “บ่าน เต็น หล่า สี่ อะ

โตย เต็นหล่า ไหม

เซิ้ต ฟุย เดือก กับ บ่าน”

ฉันถามชื่อเขาและบอกว่าฉันชื่อไหม เขาเลยแนะนำ�ตัวกลับว่าเขาชื่อฝ่าม วัน ต่วน หรือ ต่วน เขาเป็นคนฮานอยโยกำ�เนิด

“คุณมาทำ�อะไรที่เวียดนามครับ”เขาสั่งชากับซาลาเปาแล้วนั่งคุยกับฉันต่อ“ฉันเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์ฯ ค่ะ จะอยู่ที่นี่หกเดือนเลย”“คงคิดถึงบ้านมากสินะครับ”“คิดถึงมาก ค่ะ บ้านฉันอยู่อีสานนะ อยู่ใกล้ประเทศลาว ว่าแต่ทำ�ไมคุณถึงทักฉันด้วยภาษาไทยได้ล่ะคะ”เขายิ้มและหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะตอบว่า

“เมื่อปีที่แล้วผมได้รู้จักกับคนไทยคนหนึ่ง เธอมาฝึกงานที่นี่สี่เดือน เธอสอนภาษาไทยให้ผมหลายคำและทำให้ผมอยากไปเมืองไทยบ้าง”เหมือนดวงตาของเขายิ้มได้เมื่อพูดถึงเรื่องนี้“ผมเป็นนักดนตรีนะ เป่าขลุ่ยเวียดนามได้ เธอเห็นผมเล่นดนตรีเวียดนามก็เลยเล่าถึงดนตรีไทยให้ฟัง ถ้าผมจำ�ไม่ผิดดนตรีอีสานบ้านของคุณก็จะมีเครื่องดนตรี

แบบพิเศษด้วย ใช้เป่าเหมือนกัน และที่เมืองไทยก็มีโรงเรียนสอนดนตรีเยอะแยะเลย

ดีจังนะ”

เขาคงชอบเมืองไทยหรือผู้หญิงไทยคนนี้มาก เพราะเรื่องที่เขาเล่านั้นมาจากความจริงใจ ฉันสัมผัสได้จากน้ำเสียง

“ใช่ค่ะ ดนตรีอีสานที่เป็นเครื่องเป่าก็จะมีแคน มีโหวด เดี๋ยวฉันเปิดให้คุณดูดีกว่า”

ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วเปิดคลิปการเป่าแคนให้หนุ่มเวียดดู“นี่เขาเรียกว่า “ลายสุดสะแนน”สะแนนก็คือสายแนน อ่า...เป็นความเชื่อของคนไทยเหมือน Soulmateหรือ Destiny ประมาณนั้น ซึ่งถ้าเป่าแคนทำ�นองนี้ก็จะสื่อถึงความผูกพันความสัมพันธ์ค่ะ”ต่วนดูคลิปนั้นด้วยความสนอกสนใจ ก่อนจะเปรยว่า“คนไทยนี่เก่งมากที่รักษาความเป็นดั้งเดิมได้เยอะทีเดียว พร้อม ๆ กับ

การเติบโตของบ้านเมือง”ฉันยิ้มให้เขาก่อนจะตอบว่า“ไม่หรอกค่ะ เดี๋ยวนี้คนรุ่นหลังเองก็ไม่ได้สนใจดนตรีพื้นบ้านกันหรอกนะฉันเองก็เสียดายอยู่เหมือนกัน”

๓.

รสสายสองยังแล่นไปตามเส้นทางและแวะจอดตามป้ายต่าง ๆ มีคนขึ้นบ้าง ลงบ้าง แต่ไม่แออัดนัก คงเพราะสายฝนที่กระหน่ำเทลงมากระมัง ฉันคิดขณะรถชะลอแล้วหยุดรับผู้โดยสารที่ยืนรออยู่ป้ายหน้าเป็นป้ายที่อยู่ตรง วันเหมียว หรือ

วิหารวรรณกรรม สถานที่สำคัญแห่งนี้สร้างในปี พ.ศ. ๑๖๑๓ เป็นโรงเรียนของพวกขุนนางและเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติแห่งแรกของเวียดนาม ภายในจะมีอาคารชื่อดาวลูกไก่ หรือเคววันกั๊ก เป็นสถานที่ที่นักอักษรศาสตร์มาท่องบทกวี เมื่อนึกถึงบทกวีก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึง “ผญา” และเหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อน ผญาเป็นคำพูดหรือภาษิตของนักปราชญ์อีสานโบราณ เป็นคำที่ถ่ายทอดมาจากคำว่าปัญญา และปรัชญาโดยเฉพาะบทที่ว่า ...ขอให้อดสาสู้ เพียรไปให้ถืกป่อง คุณอาจารย์ยกใส่เกล้า คนิงไว้อย่าสิลืม... ขอให้อดทนและสู้ในสิ่งที่ถูกและควร บุญคุณครูอาจารย์ก็ควรน้อมใส่เกล้า อย่าได้หลงลืม

๔.

ฉันเลื่อนเม้าส์คอมพิวเตอร์ขึ้นลงอย่างรวดเร็วพอ ๆกับสายตาที่จับจ้อง

โปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ของจังหวัด“๑๑ – ๑๔ เมษายนนี้ พบกับนักร้อง นักแสดงชื่อดังมากมาย อย่าพลาด!”ตัวอักษรเด่นหราชวนให้เด็ก ม.๖ อย่างฉันและผองเพื่อนสนอกสนใจกันยกใหญ่ ยิ่งเห็นรายชื่อศิลปินที่ร่วมงานด้วยแล้ว ถึงกับบอกตัวเองหนที่ร้อยว่าต้องไปให้ได้ ก่อนจะปิดหน้าต่างเว็บไซต์ลง สายตาของฉันก็ปะทะเข้ากับตารางกิจกรรมระหว่างวัน มีชื่อกิจกรรมที่คล้ายกับมือขนาดใหญ่ดึงคอเสื้อของฉันเอาไว้เป็นการแสดงที่ชื่อว่า “ผญาย่อยหัวดอนตาล” ฉันรู้สึกสะดุดใจอย่างไรก็บอกไม่ถูก รีบก๊อบปี้คำนี้แล้ววางในช่องกูเกิล แล้วครูกู (เกิล) ก็เฉลยว่า ส่วนผญาย่อยหัวดอนตาล

นี้เป็นการแสดงที่เรียกตามพื้นที่คืออำเภอดอนตาล ปัจจุบันมีเพียงแม่ “หมอลำ

ผมหอม สกุลไทย” ที่เป็นหมอลำผญาซึ่งยังคงรักษาความเป็นดั้งเดิมเอาไว้และมีชื่อเสียงมาก ฉันอ่านไปย่นคิ้วไป เอ...แล้วฉันนี่พลเมืองของจังหวัดประเภทไหนกันนะ ไม่เคยเห็นรู้จักเลย...ฉันตัดสินใจชวนเพื่อน ๆ พร้อมเล่าเหตุผลว่าควรดูผญาแล้วต่อด้วยคอนเสิร์ต แต่สุดท้ายแสงแห่งความหวังก็วับหายไป แม้แต่เพื่อนที่ชอบดูหมอลำเองก็บอกว่า “มันไม่สนุกหรอกมั้ง” ทั้งที่พวกเขาก็ไม่เคยรู้จัก

ในเมื่อไม่มีใครเป็นแนวร่วม ฉันจึงถามครูกู (เกิล) อีกครั้ง และครั้งนี้เองทำให้พบว่าอีสานมีอะไรหลายอย่างที่คนอีสานควรรู้ ฉันได้อ่านเรื่องย่อนิทานโบราณอีสานหลายเรื่อง ล้วนแต่มีภาษาและเรื่องราวที่ชวนให้ติดตาม เช่น เท้าหมาหยุย สังข์สินไซ แต่ที่ฉันชอบที่สุดก็คือเรื่องผาแดงนางไอ่ เรื่องราวโศกนาฏกรรมความรักระหว่าง นางไอ่คำ ท้าวผาแดง และพญานาคที่ชื่อท้าวภังคี ได้กลายเป็นตำนานหนองหานล่มจนถึงปัจจุบันเพราะท้าวภังคีหลงรักนางไอ่คำจึงแปลงเป็นกระรอกด่อนหรือกระรอกเผือกมาชมโฉมนาง แต่ด้วยบุพกรรมนายพรานจึงใช้ธนูยิงจนภังคีต้องตาย

“…พรานก็ยิงเสียซ้ำศรตำตัวกระฮอก ท้าวก็เจ็บแสบฮ้อนศรหน้องผ่าทรวง...”ฝ่ายพ่อของภังคีก็เคียดแค้นจึงนำกองทัพนาคบุกถล่มเมือง ฆ่าทุกคนที่กินเนื้อกระรอกด่อน ซึ่งรวมถึงนางไอ่คำด้วย ท้าวผาแดงเมื่อเห็นหญิงสาวที่รักตายไป

ต่อหน้าต่อตาจึงตรอมใจจนสิ้นลม แม้ต้องกลายเป็นผีแต่ด้วยจิตอันแรงกล้าจึงไป่ต่อสู้ล้างแค้นถึงเมืองบาดาล สู้รบกันยกใหญ่ กระทั่งพระอินทร์ต้องลงมาห้ามทัพ เรื่องราวจึงยุติลง ความรักที่ขาดสติย่อมนำ�ไปสู่ความแค้นและความทุกข์ แก่นเรื่องที่ถูกผูกติดกับความสนุกสนานที่เล่าโดยคนโบราณ บ่งบอกถึงภูมิปัญญาอันชาญฉลาดของ

บรรพบุรุษ หากจะต้องสูญไปตามกาลเวลาไม่มีใครสนใจคงจะน่าเสียดายหลังจากวันนั้นฉันก็สนใจอยากจะเรียนในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ ฉันอยากเรียนภาษาไทยเพราะคงพาฉันก้าวไปสู่โลกของการอ่านวรรณกรรมและทำ�ให้ได้ลองเขียนอะไร ๆ ด้วยภูมิปัญญา ดังเช่นครั้งบรรพบุรุษระหว่างรอยต่อของช่วงการศึกษา มีชุมนุมดนตรีอีสานฉันก็ไปสมัครเข้าร่วมด้วย ขณะที่เพื่อนผู้หญิงเรียนรู้การร่ายรำ� ฉันกลับสนใจท่วงทำ�นองจากดนตรี

–ลา –ซอล –มี –ลา –ซอล –โด –ลา –ซอล –มี –ลา ---ซอล –มี –เร –โด

–มี ---เร –ซอล –มี –เร –โด –ลา –โด –เร –มี –เร –โด –ซอล –ลา

ทำ�นองเต้ยโขงดังแว่วมา ชวนให้หัวใจและร่างกายขยับตามจังหวะ ทำ�ให้ฉันลองสัมผัสกับดนตรีอีสานครั้งแรก จากการลองเพื่อเล่น กลายเป็นเล่นเพื่อฝึก และฝึกเพื่อโชว์ ถึงแม้ว่าฉันจะหลงใหลดนตรีพื้นบ้านแต่ฉันก็หลงรักวิชาภาษาไทย หลงรักวรรณกรรมทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ไปแล้ว เมื่อต้องเลือกเรียน ฉันจึงมุ่งมั่นในเส้นทางเดิม ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญกับคำ�ถามจากคนรอบข้างก็ตาม

“หนู ๆ เรียนต่อคณะอะไรหรือจ๊ะ”

“มนุษยศาสตร์ฯ สาขาภาษาไทยค่ะ”

“อ้าว เรียนจบแล้วจะทำอะไรล่ะ เป็นครูเหรอ ทำไมไม่เรียนหมอ เรียนวิศวะล่ะลูก”

“หนูชอบค่ะ คิดว่าน่าจะเรียนได้ดี”“ชอบเฉย ๆ น่ะไม่ได้นะ อีกอย่างภาษาไทยใคร ๆ ก็พูดได้...ถ้าไม่งั้นก็

ทำงานเลยจะดีกว่านะ”ฉันไม่ตอบ เพียงแต่ส่งยิ้มพร้อมกับเงินทอนให้ลูกค้าคนนี้ที่แวะมาซื้อของเป็นประจำ คำถามของป้าคนนั้นทำให้กำลังใจของฉันถดถอยไปบ้าง แต่ก็ชั่วครู่เท่านั้นแหละ ฉันเชื่อ ถ้าเรารักในสิ่งใดมาก แล้วให้เวลาและเอาใจใส่มัน สักวันหนึ่งมันจะเกิดผลที่ดีตามมาในที่สุด

๕.

สิ้นเสียงบอกป้ายที่รถประจำทางจะจอด ประตูสองบานก็เปิดออกผู้โดยสารสองสามคนก้าวลงจากรถรวมถึงฉันด้วย ป้ายที่ว่านี้อยู่ใกล้กับฮานอยทาวเวอร์ ฉันเดินย้อนกลับไปทางฮานอย ทาวเวอร์ เพื่อเลี้ยวซ้ายและเลี้ยวขวาอีกครั้ง ฉันมาถึงหัวมุมถนนมีอาคารเก่าแก่ดูคล้ายสถาปัตยกรรมจีน แล้วเดินต่อไปยังอาคารที่อยู่ข้าง ๆ ภายในรั้วเดียวกัน ซึ่งออกแบบอย่างทันสมัย สถานที่แห่งนี้คือสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงฮานอยสี่เดือนก่อนหน้านี้ สาขาวิชาภาษาไทยได้เปิดรับสมัครนักศึกษาเพื่อชิงทุนไปศึกษาภาษาต่อในประเทศอาเซียนหกเดือน โดยมีเงื่อนไขคือ เกรดเฉลี่ยต้องไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ต้องมีความรู้พื้นฐานภาษาของประเทศที่เลือก และมีความสามารถพิเศษเกี่ยวกับประเพณี วัฒนธรรมไทย ฉันตัดสินใจสมัครแทบจะทันทีจนวันสัมภาษณ์มาถึง ฉันก็พยายามแสดงความสามารถพิเศษอย่างเต็มที่ ถ่ายทอด

ความตั้งใจผ่านท่วงทำนองดนตรี และในที่สุดฉันก็ได้มาฮานอยสมใจ ไม่ใช่แค่ในฐานะของนักศึกษาหรอกนะ แต่ในฐานะตัวแทนประเทศไทยด้วย เพราะฉันต้องช่วยอาจารย์ชาวเวียดนามสอนภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์ฯ ฮานอย มหาวิทยาลัยเดียวกับที่ฉันกำลังศึกษาอยู่

“สวัสดีค่ะ มาพบใครคะ”

“สวัสดีค่ะ หนูมาพบพี่ฟ้าค่ะ ตอนเย็นจะไปร่วมงานที่โอเปราเฮาส์ค่ะ”

“อ๋อ เดินตรงไป พี่ฟ้าอยู่ชั้นสองนะคะ”

เจ้าหน้าที่ประจำจุดประชาสัมพันธ์ยื่นบัตรที่เขียนระบุว่า VISITOR ให้ฉันรับมาติดไว้บนหน้าอกก่อนจะเดินไปหาคนที่นัดไว้ ภายในสถานทูตเย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศหลายตัว แต่ฉันกลับอบอุ่นเพราะภายในตกแต่งด้วยภาพวาด

ภาพถ่ายสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศไทย มีหนังสือเกี่ยวกับในหลวงให้ได้หยิบมาเปิดอ่าน มีแผ่นพับสอนสอนทำอาหารไทยเมนูต่าง ๆ เช่น แกงเขียวหวาน ต้มยำกุ้งผัดกะเพรา ทั้งพิมพ์ด้วยภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เวลานี้ฉันไม่ได้รู้สึกหิวบรรดา

อาหารที่ว่า แต่กลับคิดถึงอาหารที่สุดแสนจะธรรมดาอย่างแกงขี้เหล็ก น้ำตกคอหมูย่าง หรือแม้แต่แกงหน่อไม้ หมกหน่อไม้ ใส่ผักแขยงหรือที่บ้านฉันเรียกกะแยง

หอม ๆ เสียมากกว่า ตอนแม่แกงหน่อไม้หม้อใหญ่ฉันกลับเบื่อ วันนั้นเราไม่รู้หรอกว่ากับข้าวบ้านเราอร่อยแค่ไหน จนวันที่เราหากินเมนูเหล่านี้ได้ยากเต็มที ยิ่งวันที่ฉันไปกินแบ๋งห์ ก๋วน หรือขนมปากหม้อญวน แม่ค้าจะแถมผักแขยงให้ ฉันกินไปด้วยคิดถึงบ้านคิดถึงอีสานไปด้วย

“พี่ฟ้า สวัสดีค่ะ”ฉันยกมือไหว้เจ้าหน้าที่ชาวเวียดนามแต่พูดภาษาไทยได้“สวัสดีค่ะน้องไหม มาเซ็นรับค่าขนมให้พี่ด้วยนะ เดี๋ยวห้าโมงเย็นเราจะไปโอเปราเฮาส์กัน รอเพื่อน ๆ กลุ่มอื่นแป๊ปนึง”

“ได้ค่ะ”

ระหว่างที่รอฉันหยิบสิ่งสำ คัญซึ่งจะต้องใช้ในงานซึ่งจัดขึ้นที่โอเปราเฮาสมาตรวจเช็กอีกครั้ง นอกจากฉันแล้วยังมีเพื่อนกลุ่มอื่น เป็นนักศึกษาไทยที่เรียนและฝึกงานในฮานอย กำ�ลังจะเดินทางไปร่วมงานด้วยกัน งานที่ว่านี้ก็คืองานครบรอบ๔๐ ปี ความสัมพันธ์ไทย-เวียดนามนั่นเอง

๖.

[อยู่ไหนแล้วครับ] ต่วนส่งข้อความถึงฉันผ่านแอพลิเคชั่นเมสเซ็นเจอร์

[ฉันมาถึงโอเปราเฮ้าส์แล้วค่ะ^^]

[โอเค นึกว่าคุณจะไม่มาดูผมซะอีก]

[ฉันต้องไปอยู่แล้ว ไม่พลาดหรอกค่ะ]

[ครับ ผมไปเตรียมตัวก่อนนะ]

ฉันมาถึงโอเปราเฮ้าส์ หรือ โรงละครของเมืองฮานอย ตึกทรงสูง ขนาดใหญ่ มีสถาปัตยกรรมกลิ่นอายฝรั่งเศส ตั้งอยู่บนถนน Ly Thai To ไม่ไกลจากทะเลสาบฮวานเกี๋ยมหรือทะเลสาบคืนดาบ แต่ก็กินเวลากว่ายี่สิบนาทีในการเดินทางจากสถานทูตมาที่นี่ฉันและนักศึกษาไทยคนอื่น ๆ เดินตามผู้นำทาง คือหญิงสาวที่สวมใส่ชุดอ๋าวส่าย –ฉันสังเกตว่าเจ้าหน้าที่คนอื่นก็ใส่เช่นกัน- ไปยังด้านหลังของเวที ซึ่งจะมีห้องขนาดใหญ่หลายห้อง และห้องสำหรับพวกเราคือห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง ใกล้ ๆ กับห้องน้ำหญิง ภายในห้องจะมีกระจกบานใหญ่ มีโต๊ะ เก้าอี้ ราวแขวนเสื้อผ้า ซึ่งเป็นห้องที่พร้อมมากสำหรับการเก็บตัวนักแสดง เพราะพื้นที่กว้างกลางห้องสามารถซ้อมการแสดงได้ หนุ่มสาวกว่ายี่สิบชีวิตที่มาด้วยกันเริ่มแต่งตัว ด้วยเครื่องแต่งกายและแต่งหน้าที่ตระเตรียมมา ฉันขยับไปนั่งรวมกับเพื่อน ๆ ที่รู้จักเพราะเคยเจอกัน และ

สนิทกันบ้างแล้วก่อนหน้านี้ เพื่อน ๆ กำลังแต่งแต้มครีมและผงเครื่องสำอางลงบนผิวหน้าของฉัน เสียงดนตรีจากบริเวณเวทีดังลอดเข้ามาในห้อง เป็นดนตรีที่แว่วหวานน่าจะเป็นเครื่องเป่าสลับกับเครื่องสี แต่คงไม่ใช่ดนตรีราชสำนักหรือดนตรีพื้นบ้านของไทย นั่นแหละว่าเริ่มมีการซักซ้อมคิวการแสดงแล้ว นักแสดงจากไทยก็เริ่มจะขยับและทยอยเดินไปที่เวที

เมื่อพวกเราไปถึงนักแสดงเวียดนามก็ลงเวทีกันไปหมดแล้ว ฉันมองหาใบหน้าที่คุ้นเคย แต่ไม่ทัน ฉันหัวเราะเบา ๆ เพราะคิดไม่ออกว่าถ้าสายตาของต่วนไม่เจอฉันนั่งบนเก้าอี้แต่กลับพบฉันมายืนตำแหน่งเดียวกับเขา จะเซอร์ไพรส์แค่ไหน

ขณะที่คิดไปเพลิน ๆ เจ้าหน้าที่ก็บอกพวกเราให้เริ่มซักซ้อมได้ การแสดงทั้งหมดจากประเทศไทยมีทั้งหมดสี่ชุด เมื่อการซักซ้อมดำเนินไปจนถึงการแสดงชุดสุดท้ายเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นชาวเวียดนามก็ได้ชี้แจงรายละเอียดว่า การแสดงเวียดนามมีห้าชุด สำหรับลำดับการแสดงจะสลับ เวียดนาม-ไทย-เวียดนาม-ไทย เรื่อย ๆ ฉันอ่านรายละเอียดบนหน้ากระดาษที่ได้รับอีกครั้ง ในลำดับที่ห้าจะเป็นการแสดงดนตรีเวียดนามแล้วต่อด้วยการแสดงดนตรีพื้นบ้านของไทย

เวลา ๑๙.๐๐ น. แขกผู้ใหญ่รวมถึงบรรดาผู้ชมได้ทยอยเข้าไปจับจองที่นั่งทั้งชั้นหนึ่งและชั้นสองจนแน่นขนัด จนถึงเวลา ๑๙.๓๐ น. พิธีเปิดจึงเริ่มขึ้น โดยบุคคลสำคัญคือรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมของเวียดนามและเอกอัครราชทูตไทยประจำ

กรุงเวียดนามได้กล่าวเปิดงานและกล่าวถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่ดำเนินมากว่าสี่ทศวรรษ หลังจากถ่ายภาพที่ระลึกแล้ว การแสดงชุดที่หนึ่งซึ่งเป็นการแสดงจากฝ่ายเวียดนามคือการร้องเพลงประสานเสียงอัน

ไพเราะประกอบการเต้นจินตลีลาที่พลิ้วไหวได้เริ่มต้นขึ้น จากนั้นก็เป็นการแสดงจากประเทศไทยซึ่งได้นำเสนอชุด “ฟ้อนมาลัย” เป็นการร่ายรำของภาคเหนือทำนองเพลงเป็นทำนองจากเพลงฟ้อนดวงดอกไม้ มาเพิ่มเนื้อร้องโดยท่านอาจารย ์มนตรี ตราโมท นางรำทั้งสี่คนจะสวมใส่ชุดรำสีสันสดใส มือขวาถือพวงมาลัยประกอบท่าทางที่อ่อนช้อย

ด้านหลังเวทีทั้งสองด้าน มีนักแสดงไทยและเวียดนามยืนอยู่ ฉันพยายามมองหาต่วน จนเห็นว่าเขากำลังยืนอยู่อีกด้านของเวที สายตาของเขามองไปด้านหน้าที่มีผู้ชมนั่งอยู่บ่อยครั้ง ฉันพยายามมองเขาเช่นกันแต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีโอกาสที่เห็น

กันได้พอดี เมื่อถึงลำ�ดับการแสดงดนตรีเวียดนาม ต่วนซึ่งสวมใส่เสื้อคอจีนสีเทาเข้มแขนยาวและตัวเสื้อยาวจนถึงหัวเข่า ตัดกับกางเกงขายาวสีขาว บนหัวสวมหมวกสีเข้ากับชุด ต่วนเดินออกมาจากด้านหลังเวทีพร้อมกับนักดนตรีคนอื่น ๆ ก่อนจะเริ่มบรรเลงดนตรีที่เนิบช้าทว่าหนักแน่นและไพเราะ ฉันไม่ได้พกสมาร์ทโฟนติดตัวตั้งแต่ที่ซักซ้อมการแสดง ไม่รู้ว่าเขาส่งข้อความมาอีกหรือเปล่า เขาคงคิดว่าฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใดตัวหนึ่งในจำ�นวนที่นั่งนับร้อย ๆ ด้านหน้าเป็นแน่

เมื่อการแสดงของต่วนจบลง พิธีกรก็ได้แนะนำ�การแสดงชุดต่อไปซึ่งมีชื่อว่า “สายสัมพันธ์แห่งสุนทรี” เสียงผู้ชมปรบมือดังสนั่นแต่คงไม่เท่าเสียงหัวใจของฉันที่มันเต้นตุ้บ ๆ รัว ๆ ด้วยความตื่นเต้น ฉันเดินไปด้านหน้าเวที พร้อมกับเพื่อน

อีกสองคน ฉันสวมเสื้อม่อฮ่อมเช่นเดียวกับเพื่อนผู้ชายสองคน เพื่อนนุ่งโสร่งสวนฉันนุ่งผ้าซิ่น บนบ่าพวกเราวางพาดด้วยผ้าขิดผืนงาน ฉันเป่าแคน ส่วนเพื่อนอีกสองคนเป่าโหวด และตีโปงลาง โชคดีที่ในโครงการเดียวกันมีคนใช้ดนตรีอีสานเป็น

ความสามารถพิเศษในการสมัครชิงทุนสามคน ทำ�ให้การแสดงนี้เกิดขึ้น เราจะโชว์ลายดนตรีของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น ก่อนที่จะผสานท่วงทำ�นองเป็นเพลงเดียวกันนาทีที่ฉันเริ่มใช้มือสัมผัสกับรูนับและลูกเคน ริมฝีปากสัมผัสกับรูเป่า โน้ตตัวแรก สองสาม และสี่ก็ดังขึ้น เถาย่านางหรือปลายของแคนก็โบกสะบัดไปกับท่าทางของฉันออกจะแปลกไปบ้างที่หมอแคนเป็นผู้หญิง แต่ในเมื่อกีตาร์และเครื่องดนตรีทั้งหลายไม่ได้แบ่งเพศผู้เล่น ผู้หญิงเล่นกีตาร์แล้วเท่ได้ เป่าแคนก็คงจะเท่เหมือนกันกระมังก็น้อยคนที่นี่จะเป่าแคนเป็นระหว่างที่ฉันเป่าแคนลายสุดสะแนน หางตาของฉันเห็นใครคนหนึ่ง

ยืนมอง เสียงแว่ว ๆ เรียกชื่อของฉันดังมาจากข้างเวที ฉันหมุนตัวให้เข้าจังหวะหันไปทางนั้น ใช่แล้ว! ต่วนยืนอยู่ เขายิ้มแล้วทำ�มือเหมือนปืนเล็งมาที่ฉัน เมื่อเสียงแคนแผ่วลง โปงลางก็บรรเลงขึ้นสอดรับ ก็จะเป็นการโชว์ลายโหวด และผสานกัน

ในเพลงสนุกสนาน ทำ�น้องเต้ยโขง คราวนี้ได้เพื่อนนางรำ�ที่ออกมาโชว์น้ำเสียง ร้องเพลงเพราะ ๆ สบิ สองนาทจี งึ ผา่ นไปอยา่ งรวดเรว็ เมือ่ เทยี บกบั เวลาซอ้ มทีย่ าวนาน แต่คุ้มค่ามากเมื่อฉันและเพื่อนๆ ได้เห็นสายตาบ่งบอกถึงความสนุกและชื่นชมจากผู้ชมด้านล่าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเวียดนาม นาทีนั้นฉันคิดว่าคงไม่ใช่แค่เศรษฐกิจที่จะพาให้คนสองชาติได้รู้จักกัน แต่น่าจะรวมถึงดนตรี อาหาร และวัฒนธรรมที่จะช่วยสานไมตรียืนยาว หน้าที่ของศิลปะไม่ใช่สุนทรี วัฒนธรรมไม่ใช่สิ่งที่ควรแช่แข็ง หากวางให้ถูกที่ใช้ให้ถูกทาง มันคือสิ่งที่มีค่ายิ่ง เสียงระนาดเสียงแคน เสียงเพลงไทยเดิมที่คนไทยหลายคนมองข้าม คือสิ่งที่งดงามมาก ๆ ในต่างแดน

๗. และ ไม่มีที่สิ้นสุด

ราวสามทุ่ม การแสดงทุกชุดก็จบลงพร้อมกับรอยยิ้มของผู้ชมที่พึงพอใจจึงเป็นเวลาของกิจกรรมสุดท้าย คือการร้องเพลงฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – เวียดนามร่วมกัน ในชื่อเพลงว่า “moi tinh viet nam สายใจเวียดนาม –

ไทยแลนด์” นักแสดงเวียดนามและไทยเดินออกมาพร้อมโบกธงชาติผืนเล็ก ๆฉันเองก็เดินเข้าไปในเวทีพร้อมกับโบกธงไทยและร้องเพลงไปด้วย รู้ตัวอีกทีก็มีผู้ชายคนหนึ่งมายืนข้าง ๆ โบกธงสีแดงมีรูปดาวอยู่ตรงกลาง “สุดสะแนน” เขาพูดขึ้น แล้วเราก็หัวเราะและยิ้มไปพร้อม ๆ กัน เช่นเดียวกับหลายสิบคนบนเวทีนี้

คำสำคัญ (Tags): #ส่งงาน#สุดสะแนน
หมายเลขบันทึก: 645824เขียนเมื่อ 19 มีนาคม 2018 20:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มีนาคม 2018 20:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท