Are you burn-out ?
มีใครกำลังหมดไฟในตัวเองบ้างยกมือขึ้น ?
Burn-out ( ภาวะหมดไฟ หรือความเหนื่อยหน่าย ) ได้ขยายตัวและระบาดไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก หลายประเทศได้รับผลกระทบต่อภาวะนี้ เช่น ประเทศสหราชอาณาจักร ได้รับควาเสียหายถึง 46,000 ล้านปอนด์ ต่อปี อันเนื่องมาจากประสิทธิภาพในการทำงานที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ประเทศสหรัฐอเมริกา สูญเสียต้นทุนทางเศรษฐกิจ ถึง 3 ล้าน ล้านเหรียญต่อปี และค่าใช้จ่ายจากการลาออกของพนักงานจำนวนมาก แบะประเทศออสเตเลีย มีระดับความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 30 ล้านเหรียญในปี1997 (Lieter and Maslach, 2005)
Burn-out ( ภาวะหมดไฟ หรือความเหนื่อยหน่าย ) มักพบในอาชีพที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ (interpersonal) กับบุคคลจำนวนมากและอาชีพที่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียด เช่น ตำรวจ นักกฎหมาย ครู ที่ปรึกษา และ พยาบาล เป็นต้น (Maslach, Susan E.,and Leiter, 1986) เป็นภาวะที่เกิดจากการที่ บุคคลต้องเผชิญกับความเครียดเรื้อรัง ( Chronic stress ) ที่มีใช่ความเครียดสะสมจนนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า(Depressive) แต่เป็นการที่บุคคลนั้นใช้กระบวนการทางจิตในการที่ จะตอบสนองภาวะเครียดเรื้อรังนี้ โดย พยายามที่จะ ไม่รับรู้ ไม่ตอบสนองต่อ สิ่งเร้าที่ส่งผลให้เกิดความเครียด(stress)เรื้อรัง โดยที่ความเครียดนั้นไม่ได้หมดไป เพียงแต่บุคคลเราพยายามที่จะไม่รับรู้กับสิ่งเร้านั้นๆและพยายามหลีกหนี ในขณะที่ต้องเผชิญและไม่สามารหลีกหนีได้ ปัจจัยที่ทำให้บุคคลเกิดภาวะ Burn-out นั้น จากการศึกษาทฤษฎี วิชาการ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย พบว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ ภาวะ Burn-out( ภาวะหมดไฟ หรือความเหนื่อยหน่าย ) แบ่งได้หลักๆ 5 ประการคือ 1. ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพสมรส ประสบการณ์ในการทำงาน การรับรู้บรรยากาศองค์กร ความเครียด ความคาดหวังในงานของบุคคล และ การเห็นคุณค่าในตนเอง 2. ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การสนับสนุน ทางสังคม บรรยากาศในที่ทำงาน ลักษณะงานที่รับผิดชอบ สัมพันธภาพกับเพื่อนร่วมงาน และ สัมพันธภาพกับผู้รับบริการ ผลที่ตามมาเมื่อบุคคลเกิดภาวะ Burn-out ส่งผลใน 4 ด้าน คือ 1. ผลทางกายและใจของบุคคล 2. ผลต่อความสัมพันธ์ กับเพื่อน เพื่อร่วมงาน ครอบรัว และผู้รับบริการ 3. ผลต่อทัศนคติ และผลต่อพฤติกรรม ทั้งที่เกี่ยวกับการทำงานและการใช้สารเสพติด เหล้า บุหรี่
ภาวะนี้เกิดได้ทั้งในตัวบุคคล และในองค์กร หลากเกิดในบุคคลก็เพียงบริหารจัดการคนเองเพื่อไม่ให้เกิดภาวะ burn-out นี้ สามารถทำได้ เช่น มีการบริหารจัดการเรื่องการดำเนินชีวิต การทำงาน อย่างมีระเบียบ เรียนรู้วิธีการคลายเครียดเมื่อรู้สึกว่าตนเองประสบภาวะเครียดแล้วนะ รู้จักปล่อยวางไม่หอบงานไว้ในอ้อมกอดเพียงคนเดียวเพียงเพราะคิดว่ากลัวคนอื่นทำได้ไม่ดี มีเพียงตนเท่านั้นที่สามารถทำงานนี้ได้ ฝึกคิดเชิงบวก หาเวลาพักผ่อนคลายเครียดกับครอบครัวบ้าง เพื่อนบ้าง ประมาณนี้ สำหรับองค์กรนั้นหากเกิดภาวะ Burn-out ขึ้นมา คงไม่สนุกแน่ ที่คนองค์กรเต็มไปด้วยคน Burn-out ผู้บริหารควรให้ความสำคัญ หมั่นประเมินองค์กร กับภาวะนี้ มีนโยบาล หรือ กิจกรรมที่จะส่งเสริมและสร้างขวัญกำลำใจในการทำงาน อีกทั้งการบริหารงานอย่างมีธรรมาภิบาล ย่อมทำให้องค์กร รอดพ้นจาก องค์กร Burn-out อย่างแน่นอน
ด้วยความห่วงใย
ชลัญธร ตรียมณีรัตน์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
อย่าเพิ่งหมดไฟ
คนสูงวัยยังมีไฟ พลังไฮเพาเวอร์
หวังว่าจะรอด อิ อิ