นักวิจัยทางสังคมศาสตร์จากคอร์เนลล์ผู้เชี่ยวชาญเมืองจีนคือสกินเนอร์ ( G.William Skinner ) เมื่อจีนเปลี่ยนการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ เขาจึงหันมาศึกษาคนจีนในเมืองไทย ผลงานที่โด่งดังมากชื่อ Chinese Society in Thailand คือท่านมองสังคมรวมตัวกันเพื่อปรับตัว มีมุมคิดแบบ Instrumentalism ท่านค้นพบว่าลูกชายคนจีน 2 คน คน 1 ดำรงตนตามแบบจีน อีกคนเปลี่ยนเป็นไทย เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความเป็นชาติพันธุ์ไม่ได้มาจากชาติกำเนิด แต่มาจากการปรับตัวให้เข้ากับบริบทของสังคมที่ตนเองอยู่ การเป็นจีนหรือไทยก็เป็นเพียงเครื่องมือหรือบทบาทไม่ผูกติดอยู่ที่ชาติกำเนิด เมื่อเป็นแค่บทบาทก็สามารถปรับเปลี่ยนไปตามบทบาทเงื่อนไขที่ตนใช้ชีวิตอยู่ นี่คือสังคมศาสตร์ทำให้เรามองโลกได้หลายแบบ ถ้ามองแค่ 2 แบบก็เป็นดังนี้ 1. Essentialism คือแบบพวกมีมุมคิดแก่นสารนิยม / ตายตัว 2. Instrumentalism คือแบบพวกมีมุมคิดปรับเปลี่ยนได้
มีคนไทยเป็นลูกศิษย์สกินเนอร์คือ ร้อยตำรวจเอก รศ. ดร. มรว. อคิน รพีพัฒน์ ท่านเขียนหนังสือชื่อ สังคมไทยยุคต้นรัตนโกสินทร์ โดยเอาโครงสร้างหลวม + Instrumentalism คือมองสังคมไทยว่ามีความยืดหยุ่นด้วยระบบอุปถัมภ์เพื่อปรับตัว จับกลุ่มช่วงชิงอำนาจ
ต่อมา เจคอบส์ ( Norman Jacobs ) มาเป็นอาจารย์ที่ นิด้า เมื่อ พ.ศ. 2507 เขาเขียนหนังสือชื่อ ประเทศไทยทันสมัยแต่ไม่พัฒนา Thailand : Modernization without Development คือเขาวิจารณ์ว่า คนไทยใช้อะไรเหมือนคนตะวันตกหมดแต่ไม่มีเหตุผล เช่น ขับรถหรู แต่ฝ่าไฟแดง คือคนเราจะพัฒนาได้ต้องมีเหตุผลด้วยเหมือนเวเบอร์บอกว่า คุณทำงานต้องมีเป้าหมายด้วย
แนวคิดของเวเบอร์ เน้น . แนวคิดสำคัญคือ
1.Rationality คือ การทำอย่างมีเป้าหมาย
2.Subjectivity คือ การคิดให้ความหมาย
เวเบอร์กล่าวว่า อย่ามองคนแค่เห็นเป็นคนเท่านั้น เพราะเขาก็คิดเป็น เช่น เขาทำการศึกษาคนงานเยอรมัน คือคนทางตะวันออกไปทำงานฝั่งตะวันตก เขาไม่เข้าใจเพราะคนทางฝั่งตะวันตกนั้นหาเช้ากินค่ำ ชีวิตไม่มั่นคง แต่มีความเป็นอิสระทางจิตใจ คนทางตะวันออกมีชีวิตที่อึดอัดคับแคบ เหมือนเป็นนางแจ๋วทำงานบ้านอยู่ดีดีอยากไปเป็นฉันทนาในโรงงาน เพียงเพราะมีความอิสระทางจิตใจ
เมื่อเวเบอร์เสนอมุมคิดนี้เป็นคนแรก ศ. ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ เอามาใช้ หนังสือโด่งดังคือ ปากไก่และใบเรือ ต่อมาเกิดเศรษฐศาสตร์การเมือง และตั้งสำนักขึ้นที่ จุฬา ฯ ดังมีเจ้าสำนักเช่น อ. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา , อ. ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ อยู่ในสายมาร์กซิสต์ ( Marxism ) ซึ่งมองว่า สังคมไทยมีความขัดแย้งกันอย่างสูงและเป็นสังคมอำนาจนิยมนั้นเอง
...................................
คำขอบคุณ เก็บมุมคิดนี้จากการฟัง ศ. ดร. อานันท์ กาญจนพันธุ์ เมื่อ วันที่ 13 – 14 ม.ค. 2561 ณ ม. ทักษิณ สงขลา.
ไม่มีความเห็น