Feel Myanmar ฉบับรับปีใหม่


Feel Myanmar ฉบับรับปีใหม่

30 ธค. 2560 - 2 มค. 2561 

เที่ยวย่างกุ้งครานี้เป็นทริปที่เล็งมานานละว่าอยากจะไปสักครั้ง ด้วยความที่เราเป็นชาวพุทธ นับถือศาสนาพุทธ ได้ฟังคำร่ำลือมานานเกี่ยวกับความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของขาวพม่า รวมทั้งภาพของมหาเจดีย์ชเวดากองที่เลื่องชื่อมาช้านาน เป็นสิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจไปเยือนกัน ซึ่งกว่าจะหาเวลาที่ทั้งครอบครัวเราว่างตรงกันนั้นก็ยากยิ่ง ทำให้เข้าใจว่า บางครั้งตั๋วถูกก็ไม่ได้มาในเวลาที่เราจะไป ครั้งนี้ก็เช่นกัน เราเลือกเดินทางจากเชียงใหม่ไปลงย่างกุ้ง ด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ ราคาไปกลับ 8700 บาท

ที่พักจองไว้ที่โรงแรม Central Yangon ซึ่งเป็นโรงแรมที่อยู่ติดถนน ใกล้กับตลาดสก็อต ราคาก็ไม่ได้แพงจนเกินไป มีอาหารเช้าให้ด้วย

เราแลกเงินดอลลาร์ไปจากซุปเปอร์ริชลำปาง  จากนั้นก็นำไปแลกเงินจ๊าดที่สนามบินพม่า

เวลาที่พม่า ช้ากว่าเมืองไทย 30 นาที flight จากสนามบินเชียงใหม่ 12.00 น. ไปถึงสนามบินย่างกุ้ง 12.55 น. 

วิวมุมสูงมองจากเครื่องบิน ใกล้จะถึงละ

ถึงสนามบินพม่า หลังจากหลุดจาก ตม.พม่า  รับกระเป๋าแล้ว  ก็ไปแลกเงินก่อน มีธนาคารรอเราอยู่แล้วก่อนถึงทางออก ก็ไปแลกไว้ตามต้องการ เรทที่ได้วันนั้นคือ 1 บาท = 41.2 จ๊าด หรือ 1000 จ๊าด ประมาณ 25 บาทไทย  เราแลกเงินไป 200 ดอลลาร์ ได้มา 270400 จ๊าด

จากนั้นก็ซื้อ Sim พม่า ได้อันนี้มา ราคาก็เท่านี้เลย คือซื้อ Sim อันนึง แล้วก็เลือก package ว่าเราจะต้องการใช้ data เท่าใด จ่ายไปตามนั้น

 ตอนแรกก่อนไป เราเตรียมใช้ Sim to fly เพราะเรามี Sim อยู่แล้ว ซื้อ package ไป 299 บาท 4 GB แต่ปรากฎว่าซื้อไป 2 Sim ใช้ได้ Sim เดียว มารู้ทีหลังว่า ตอนเติมเงินใส่ Sim เราเติมผิด ไปเติมเป็น cash card ทำให้ใน Sim อีกอันไม่มีเงินให้เค้าตัดเพื่อใช้ package นี้  น้องที่ AIS บอกว่า ที่พม่า ไม่มี 4G มีแต่ 3G แต่พอไปเปิด sim to fly มันก็จะเลือกเครือข่ายอัตโนมัติ เราได้เครือข่ายนี้มา มี 4G ด้วยยยย

หากเดินเลยทางออกไปสักเล็กน้อย จะมี Tourist information สามารถไปขอ City map ได้ฟรี  แล้วก็ออกไปเรียกแท็กซี่ตรงเคาน์เตอร์ซึ่งอยู่ด้านนอก  พวกเราไปบอกจุดหมายว่าจะไปไหน เค้าเรียกเรา 12000 จ๊าด ซึ่งแพงกว่าที่อ่านรีวิวมาว่า แท็กซี่เข้าเมือง ราคาจะอยู่ประมาณ 7-8000 จ๊าด เจ้าหน้าที่ตรงนั้นบอกว่า โรงแรมของเราอยู่ไกล บอกแต่ว่า So far ก็เลยลังเลกันอยู่เพราะมีพี่แท็กซี่ที่ไปเดินด้านในเค้าเรียกมาแค่ 10000 จ๊าด ช่วงทียังรีรอกันอยู่ เค้าก็มาบอกว่า จะลดให้เหลือ 11000 จ๊าด เอาไหม เรามองหน้ากันแล้วก็บอกว่า เอาๆ ไปเถอะ ตกลงโอเคเค้าก็จะพาไปยังแท็กซี่ซึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ คนขับเขาจะช่วยเรายกกระเป๋า ส่วนเจ้าหน้าที่ที่พามาก็เขียนบิลให้พวกเรา เอาไว้จ่ายให้กับคนขับตอนถึงจุดหมายแล้ว

ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินย่างกุ้งเข้ามาในเมือง จนถึงโรงแรมใช้เวลาประมาณ 30 นาที ถึงโรงแรม จ่ายตังค่าแท็กซี่แล้วก็เข้าไปข้างใน เป็นโรงแรมที่หรูที่สุดเท่าที่เราเคย backpack กันมา (ทุกทีจองแบบไม่มีดาว) อันนี้ด้วยความช่วยเหลือของกิ๊กน้อง ก็เลยได้มาพักที่นี่ ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้

วันนี้น่าจะเป็นวันดี มีงานแต่งงานของชาวพม่าที่โรงแรมนี้ด้วย เช็คอินอะไรเสร็จเรียบร้อย ก็เอาของไปเก็บที่ห้องพักกัน อ้อ โรงแรมนี้มีลิฟต์ด้วย เราได้พักชั้น 4 

เวลา ณ ตอนนั้นก็ บ่ายแก่ๆ ละ เปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้วก็ออกไปลุยเลย บรรยากาศบริเวณหน้าโรงแรม มีคนเดินแต่ไม่ค่อยพลุกพล่านมาก มารู้ตอนหลังว่า ช่วงที่พวกเราไป เป็นวันหยุดปีใหม่ ก็เหมือนกับกรุงเทพฯ บ้านเรา ที่คนกลับ ตจว กันหมด ถนนก็เลยว่าง รถก็ไม่ค่อยติดเท่าไหร่

พากันเดินออกจากโรงแรมไปทางขวา เราจะเจอกับตึกซากุระ ซึ่งเจ้าลูกชายไปอ่านรีวิวของฝรั่งมา เค้าบอกว่าถ้าจะซื้อตั๋วรถไฟ ให้เข้าไปซื้อตรงข้ามตึกซากุระ แต่ว่า ทางเข้ามันดูไม่เหมือนสถานที่ราชการเอาซะเลย 

เข้ามาแล้วยืนตัดสินใจกันสักพัก ก็ลองเดินเข้าไปสอบถามดู เลือกเดินเข้าไปสักช่องที่มีคนอยู่ เข้าไปถามตารางรถไฟไป พะโค หรือ หงสาวดี  ได้ความว่า มีรถไปตอนเช้า 6 โมง, 7.50 น. และ 8.00 น. (คือคุยกันรู้เรื่องได้เท่านี้) ส่วนรถไฟจากพะโค เที่ยวสุดท้าย 6 โมงเย็น 

ได้ข้อมูลแล้วก็ออกมากัน (คือยังไม่ซื้อ ไปถามเฉยๆ)

เดินไปยังเจดีย์สุเล เพราะอยู่ใกล้ๆ แถวนั้น ระหว่างทางก็จะเจอะบรรยากาศแบบชาวพม่า อาหารล้อเข็นก็มักเป็นพวกผลไม้ เค้าจะหั่นๆ แล้วใส่ถุงก๊อบแก็บบางๆ ห้อยไว้ขายแบบนี้

ลูกค้าก็มาซื้อกันประปราย คือ ขายได้ตลอด ว่างั้นเถอะ ร้านนี้เป็นมะม่วงลูกเล็กๆ คล้ายมะม่วงเบาบ้านเรา

นี้เป็นโรงหนัง ชาวพม่าชอบดูหนังกันมาก จะเห็นว่า คนเยอะทุกโรงเลย ช่วงนี้หนังเรื่อง Jumanji 2 กำลังเข้าฉายพอดี โรงหนังเป็นห้องแถวคูหาเดียว เค้าต้องเดินขึ้นบันไดกันไปเข้าดู ที่จริงอยากจะลองเข้าไปดูมากเลย แต่เวลาไม่พอ

ส่วนนี่ซันบอกว่าเป็นสถานีตำรวจ ที่เขียนว่า May I Help You

การจราจร เหมือนๆ บ้านเรา มีแท็กซี่เยอะมาก ก็เรียกแท็กซี่เหมือนบ้านเราแหละ แบบคนนี้

วิถีชาวพม่าในเมือง อยู่กันบนตึก

นี่ไง ป้ายรถเมล์ เห็นเจดีย์สุเล


เดินเลยมาอีกนิด จะเป็นเหมือนศูนย์กลางเมือง มีศาลาว่าการ ซึ่งเค้าจัดงาน count down ตอนปีใหม่กันที่นี่

นี้คือเจดีย์สุเล ซึ่งเราไม่ได้เข้าไป ถ่ายรูปบรรยากาศด้านนอกก็พอ

มีหมอดูอยู่รอบๆ เจดีย์ ต่างก็เชิญชวนเข้าไปดูดวง

 แถมภาพหาบเร่อีกสักภาพ แม่ค้าจะมีทานาคาบนแก้มกันทุกคนเลย

จากนั้นเราตัดสินใจไปมหาเจดีย์ชเวดากอง โดยรถเมล์พม่า  ขึ้นสาย 36 มาละรถเมล์ที่เราจะไป

การขึ้นรถเมล์พม่า เค้าจะไม่มีกระเป๋ารถเมล์ มีเพียงคนขับและกล่องใส่เงิน ซึ่งจะต้องจ่ายคนละ 200 จ๊าด ตลอดสาย 3 คนก็ 600 จ๊าดต่อเที่ยว หรือ คนละ 5 บาทไทย  แต่ขึ้นรถเมล์เที่ยวนี้เราไม่มีแบงค์ 600 จ๊าด แต่มี แบงค์ 500 กับ 200 ก็เลยใส่กล่องไป 700 เค้าไม่มีทอนนะจ๊ะ

 เจ้าลูกชายโผล่ขึ้นไปก็ถามคนขับว่า ชเวดากอง คนขับพยักหน้า พอเราขึ้นคนถัดไปก็บอกคนขับว่า ถึงแล้วบอกด้วยนะว่า ลงตรงไหน เค้าก็บอกให้อยู่ใกล้ๆ แถวนี้เด้อ (เดาว่าเขาพูดประมาณนี้)  ยืนโหนรถเมล์กันสักพักคนขับก็ตะโกนบอกว่า ชเวดากองงงง เราก็เดินไปหาคนขับ เขาก็ชี้ไปข้างหลัง อ้อออ ขึ้นข้างหน้า ลงข้างหลังนั่นเอง

การขึ้นรถเมล์ที่พม่า สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ตารางเทียบเลข เพราะรถเมล์บางคัน ไม่มีเลขอารบิค มีแต่เลขพม่า กันพลาดต้องเปิดดูตลอดเด้อ

พอลงจากรถเมล์ได้ก็ต้องเดินย้อนกลับมาอีกหน่อย เพราะว่าเราจะไปมหาวิชยเจดีย์กันก่อน  คือต้องเดินย้อนกลับมา และยังต้องข้ามถนนไปอีก การข้ามถนนของคนที่นี่ค่อนข้างหวาดเสียวนิดหน่อย คือวัดใจกันมาก เราก็อาศัยคนหมู่มาก เดินเนียนๆ เป็นทีมกับชาวพม่าข้ามถนนไป  จากนั้นเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ ซึ่งระหว่างทางเดินต้องคอยสวดมนต์ว่า อย่ามีขี้นกตกลงมาเล้ยยยย เพราะต้นไม้เยอะมา ขึ้นกเต็มพื้นเป็นหย่อมๆ และต้องมองข้างล่างตรงทางเดินด้วย เพราะฝาท่อบางครั้งมันไม่มี  เดินใจลอย อาจตกท่อพม่าได้  หรือบางหย่อมก็จะเจอน้ำหมากแดงๆ แบบสดใหม่ อาจเป็นการทดสอบสติก่อนไปยังสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาก็เป็นได้ 555

มีมองกันด้วย ซัน vs สาวพม่า


ถึงมหาวิชยเจดีย์  อันนี้ต้องยกความดีให้ Google map เพราะช่วยได้มากในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ เหล่านี้  ฝั่งตรงข้ามก็คือมหาเจดีย์ชเวดากองนั่นเอง แดดใส ฟ้าสวย

ถึงละ แต่มีการซ่อมแซม เค้าทำเสื่อครอบเจดีย์ไว้

เดินถึงเชิงบันได ว่าแล้วก็ ถอดรองเท้า ถุงเท้า ใส่ในถุงที่เตรียมไปกันคนละใบ จากนั้นก็เอายัดใส่เป้ เดินเท้าเปล่าขึ้นบันไดไป  

อีกสักภาพ

ด้านในเป็นแบบนี้ มีคนมาคุยด้วย เขาบอกว่าเป็นนักศึกษาไม่ใช่ไกด์ บอกว่ามีอะไรให้ไปถามลุงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาจะเล่าให้ฟังถึงตำนานต่างๆ และความสำคัญของที่นี่ แต่เราบอกว่า อ่านมาบ้างเหมือนกัน และก็ขอบคุณเขาอย่างสุภาพ เขาก็เดินจากไป

บนเพดาน

บรรยากาศโดยรอบ มีทัวร์ไทยมา พวกเราก็ฟังไกด์บรรยายไปด้วย เดินชมรอบๆ

จากที่นี่เราเดินข้ามถนนไปเข้าประตูของมหาเจดีย์ชเวดากอง  เห็นนักท่องเที่ยวฝรั่งที่ใส่กางเกงขาสั้น พากันจกผ้าขึ้นมาสวมทับ

เช่นเคย ถอดรองเท้าและถุงเท้าใส่ถุงแล้วยัดใส่เป้ เดินขึ้นไปบันไปเรื่อยๆ คือ ขึ้นไปเรื่อยๆ จริงๆ 

แตะนิดนึง ว่ามาแล้วนะ

จนถึงด้านบน ก็จะมีเจ้าหน้าที่เก็บตังค่าเข้าขม เราจ่ายค่าเข้าคนละ 10000 จ๊าด เค้าจะให้สติกเกอร์นี้มาแปะที่หน้าอก

ได้ตั๋วมา 3 ใบ และสติ๊กเกอร์ เค้าเอามาแปะให้ตรงนี้

เราใช้เวลาอยู่ในนี้กันนานมาก จากฟ้าสว่าง จนฟ้ามืด  เดินอยู่ในนั้นจนพอใจ สรงน้ำพระธาตุประจำวันเกิด เดินชมจุดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กราบพระ 4 ทิศ พระนอน ระฆังโบราณ สรงน้ำพระประจำวันเกิด คือใช้เวลาจนหนำใจว่างั้นเถอะ  ซึ่งพอตกค่ำ จะเริ่มมีกลุ่มทัวร์ไทยมา คนเริ่มเยอะ บนนั้น มีน้ำดื่มให้บริการ และมีฟรี wifi 5bbb (Hiso กว่าของบ้านเราอีก บ้านเรามี 3bb)

ขากลับมีชาวพม่าใจดี พาเรามาส่งที่เจดีย์สุเล น้องผู้ชายพูดไทยได้บางคำ ส่วนน้องผู้หญิงพูดไม่ได้เลย จะยิ้มอย่างเดียว แต่เขามีน้ำใจมาก

ค่ารถเมล์ขากลับ คนละ 200 จ๊าด เช่นเคย คราวนี้เรารู้ละว่าเขาไม่ทอน เราก็เลยไปแตกแบงค์ก่อนเพื่อการนี้โดยเฉพาะ โดยการซื้อน้ำแถวนั้นราคา 500 จ๊าด ซึ่งมารู้ภายหลังว่า ขวดขนาดนั้นเขาขายกันแค่ 300 จ๊าดจ้าาา

เจดีย์สุเล ยามค่ำคืน

สำรวจร้านอาหารแถวๆ นั้น เจอร้านยา ตกใจมาก เหมือนร้านอยู่บนรถขายของอีกที  แต่ที่จริงเป็นเพิงเล็กๆ ส่วนในนั้นก็คือคนขายจ้า

ตอนแรกจะกินกันแบบ street food ก็กลัวจะไม่รอด เลยกินเป็นร้านสมัยใหม่ ราคาเป็นมิตรมาก 

กลับมาซื้อน้ำดื่มแถวโรงแรม ขวดใหญ่ขวดละ 300 จ๊าด เท่านั้นเอง แล้วก็ถึงเวลาพักผ่อนเพื่อลุยอีกวัน ทั้งหมดนี่ก็คือ Day 1 ที่เรามาถึงย่างกุ้ง พรุ่งนี้จะเที่ยวในเมืองย่างกุ้งละ

Day 2 วันนี้เราจะเที่ยวในเมืองย่างกุ้งกัน หลังจากกินอาหารเช้าในโรงแรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกมาเลี้ยวขวา ไปจองตั๋วรถไฟพะโคกันก่อน เราซื้อตั๋วไปพะโค ซึ่งชาวพม่าเรียกว่า บาโก ราคาคนละ 1150 จ๊าด = 28 บาทไทย อันนี้ราคา upper class แล้วนะคะ  ส่วนตั๋วกลับ เค้าบอกว่า เราจะต้องไปซื้อที่โน่น แต่งงนิดนึงว่า ทำไมไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการเท่าไหร่ แต่ก็อาจจะเป็นเพราะว่าเขากลับบ้านกันช่วงปีใหม่หรือเปล่านะ นี้เป็นช่องที่เราคุยกับเจ้าหน้าที่ด้านใน อ้อ ต้องใช้พาสปอร์ต ในการซื้อตั๋วรถไฟด้วยนะ

และเราก็ได้ตั๋วมาละ ตั๋ว 1 ใบ ใช้ 3 คน ระบุ Coach และ Seat เรียบร้อย

ซื้อเสร็จก็เดินออกมา ตั้งต้นที่เดิมคือป้ายรถเมล์หน้าเจดีย์สุเล  

ที่แรกที่เราจะไปคืองาทัตจี ที่ซันดูมาคือ ต้องไปรถเมล์สาย 29 แต่พอสาย 29 มา โผล่ขึ้นไปถามโดยการเอารูปพระให้ดู คนขับดูงงมาก คือ บางคนเขาก็ไม่รู้ว่า พระที่เราเอาให้ดู อยู่วัดไหน พอมา discuss กลุ่มกันก็เปรียบเหมือนว่า มีนักท่องเที่ยวมาถามทางแล้วเอาพระในวัดศรีชุมให้เราดุรูป เราก็คงไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนเหมือนกัน เลยถามคนแถวนั้นว่า งาทัตจี ไปสายอะไร ลุงคนที่น่าจะเป็นอะไรซักอย่างกับรถเมล์ก็บอกว่า ให้ไปสาย 29 ขึ้นไปแล้วบอกคนขับว่า งาทัตจี งี้นะ ว่าแล้วก็ขึ้นสาย 29 กัน วันนี้ได้นั่ง

อย่าลืมตารางเทียบเลข เพราะรถบางคันรักชาติมาก มีแต่เลขพม่า ไม่มีเลขอาราบิค ตอนแรกๆ ก็เปิดดูกัน ตอนหลังเริ่มชำนาญ ดูปุ๊ป รู้ปั๊บ แต่แม้ว่า พวกเราก็ขึ้นรถเมล์สำเร็จ สาย 29 แต่ลง งาทัตจีไม่ทัน เลยไปอีกป้าย ดันไปถึง เจาทัตจี ซะงั้น ลงกันตรงนี้ ตอนแรกแข้าใจว่าวัดนี้แหละคือ เจาทัตจี แต่ดูเล็กไปนะ เดินไปถามพระเค้าชี้เข้าไปข้างใน เดินตามทางขึ้นไปอีกหน่อย

เดินเข้าซอยไปเรื่อยๆ ตาม google map ไป ก็ถึงละ เจาทัตจี สังเกตว่า จะมีรถทัวร์มาจอดเยอะเลย

ที่นี่มีพระนอนตาหวาน นักท่องเที่ยวไทยเยอะมาก ด้านนอกมีของที่ระลึกขาย เช่น กำไลหยก โสร่ง แต่ราคาไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ แล้วแต่ความสามารถในการต่อรอง

มีรูปถ่ายพระนอน เดิมไม่ใช่พระนอนนะคะ มีการบูรณะใหม่แล้วเป็นพระนอนแบบนี้

มีเทพทันใจที่นี่ด้วย

ที่นี่มีกรุ๊ปทัวร์ไทยมาลงเยอะมาก เป็นวัดที่ดังอีกวัดนึงที่ถ้ามาทัวร์พม่า จะต้องมีวัดนี้อยู่ในลิสต์ ถ้าลองดูรายนามผู้บริจาคที่ติดไว้จะมีคนไทยเยอะมากๆ เลยค่ะ

เดินข้ามถนนกลับมา งาทัตจี ที่นี่เป็นวัดที่มีพระสวมเครื่องทรงกษัตริย์ พอเดินเข้าไป เค้าเหมือนมีงานอะไรซักอย่างด้วย เพราะมีเสียงมหรสพดังมากผ่านเครื่องเสียง แต่ไม่มีทัวร์เลย เจอนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์แค่ 2 คน เช่นเคยนะว่า เวลาจะขึ้นไป ต้องถอดรองเท้าถุงเท้าตั้งแต่บันได้ขั้นแรกเลย ทางเข้าจะต้องเดินเข้าซอยไปอีก

ระหว่างทาง มีหม้อดินใส่น้ำดื่มตั้งไว้บริการด้วย

หน้าวัดมีงาน ดูเหมือนมีอาหารจำหน่าย และมหรสพ

ระยะทางที่เราจะต้องถอดรองเท้าเดินขึ้นมา

พระประธานสวมเครื่องทรงกษัตริย์

อันนี้คล้ายกฐิน บ้านเรานะ มีแบงค์แปะอยู่รอบๆ จานกระดาษ

ที่นี่มีห้องน้ำสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย คือ For Foreiner only เค้าจะมีกุญแจล็อคไว้ด้วยนะ เราไปเมียงๆ มอง ก็มีคนมาถามว่าจะเข้าห้องน้ำใช่ป่าว ก็เลยพยักหน้า เขาก็ไปเรียกเจ้าหน้าที่มาเปิดประตูให้ งี้ ห้องน้ำค่อนข้างโอทีเดียว

ออกมาจาก งาทัตจี แล้วเราจะไป กาบาเอ กันต่อ แต่จากที่นี่ไปขึ้นรถเมล์เพื่อไป กาบาเอ ค่อนข้างไกล เราเดินกันไปประมาณ 2 km เพื่อไปยัง bus stop ที่จะไป กาบาเอ  จากนั้นขึ้นรถบัสสาย 28 ลงหน้า กาบาเอ เลย แนะนำ web site สำหรับหาสายรถเมล์ในพม่า ลองเข้าเวปนี้ดู

อันนี้เป็นทางเข้า

ลงรถเมล์แล้วข้ามถนน เข้าวัดไป มีร้านขายของที่ระลึก ตลอดทางเดินเข้าไป และแน่นอนที่คนขายส่วนใหญ่ พูดไทยได้

ที่นี่ค่าเข้า คนละ 3000 จ๊าด จะมีคนมาพาเราไปจ่ายค่าตั๋ว แล้วได้สติ๊กเกอร์มาติดเสื้อเช่นเคย  

เดินเข้าไปด้านใน ที่นี่เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ  ภาพนี้ถ่ายจากข้างนอก กำลังมีการบูรณะเจดีย์ แดดสวยฟ้าใส อีกแล้ว

บรรยากาศด้านใน มีชาวพม่าเข้ามาไหว้พระ สวดมนต์ 

เข้าไปด้านในอีก จะมีพระพุทธรูป และมีพระบรมสารีริกธาตุ มีคุณลุงคอยเอาแว่นขยายส่องและอธิบายให้ฟังว่าเป็นอย่างไร

ฝั่งตรงข้างเจดีย์ จะมีอาคารนี้ เข้าไปจะเจอกับชาวพม่า กำลังโดยเหรียญลงไปในบาตร เป็นความเชื่อว่าถ้าโยนลงบาตรได้ก็จะโชคดี มีคุณลุงคนนึงกำลังทำหน้าที่กวาดเหรียญอยู่

ออกมากินอาหารกลางวันหน้า กาบาเอ เป็นร้านพม่าแท้ๆ มีรูปถ่ายอาหารติดอยู่ในร้าน พอไปนั่ง เขาก็เอาเมนูมาให้ แต่ทว่า ภาษาพม่าล้วนๆ ก็เลยเดินไปชี้อาหารซึ่งดันติดไว้สูงอีก ชี้ไม่ถึง สุดท้ายก็จกมือถือ ออกมาถ่ายรูปอาหารจานที่ต้องการ แล้วก็ยกนิ้วชี้ ประมาณว่า เอาแบบนี้ 1 ที่ เขาก็เข้าใจนะ เป็นร้านโลคอลของพม่าแท้ๆ เชียวค่ะ ค่าอาหารไม่แพงเลย เรากินกันจนอิ่ม พร้อมด้วยชาพม่า และกาแฟพม่า (ลองครั้งเดียวเลิก) รวมทั้งปาท่องโก๋ตัวยาวๆ จ่ายไป 6400 จ๊าด เท่านั้นเอง

ตอนแรกก็สงสัยมากว่า เอาไฟแช็คผูกไว้ทำไม ตอนหลังเห็นคนพม่ามาจุดบุหรี่ด้วยไฟแช็คอันนี้ก็ถึงบางอ้อ คือไฟแช็ครวมนั่นเอง

กินเสร็จแล้วก็เดินข้ามสะพานลอยไปยังฝั่งวัด เพื่อขึ้นรถเมล์ไปยังอีกที่หนึ่ง มีผลไม้ขายหน้าวัดด้วย แต่ไม่ได้ชิม

 จากนั้นเราก็นั่งรถสาย 28 กลับมาในเมือง เพื่อไปอีกที่นึง คือ โบตาตาว  เรานั่งรถสาย 28 มาลงในเมืองเพื่อไปขึ้นรถสาย 58 พอขึ้นได้ก็นั่งไปเรื่อยๆ จนรถไปสุดสาย คนลงกันหมด เหลือเรา 3 คน  อ้าว ทำไงเนี่ย ยังไม่ถึงเลย ก็เลยเดินไปถามคนขับว่า จะไปโบตาตาว เค้าชี้ไปอีกฟากถนน  อ้ออออ ขึ้นผิดฝั่ง

ลงมาสิ จะรออะไร ไปอีกฝั่งก็ได้ คราวนี้เราไม่มีแบงค์ย่อยละ แต่รถเมล์ตรงนี้ทำให้เรารู้ว่า คนพม่าเขาทอนตังกันยังไงเวลาไม่มีแบงค์ย่อย คือ ขึ้นไปแล้ว ยังไม่ต้องหย่อนตังลงกล่อง พอคนถัดไปขึ้นมา เราก็เอาเงินเค้ามา พออีกคนขึ้นมา เราก็เอาเงินเค้ามาอีก รวมเป็น 5 คน ก็จ่ายลงไป 1000 จ๊าดเลยยยย อันนี้ศึกษามาจากเวลาคนพม่าขึ้นมาแล้วเค้าทำยังไง เราเลยทำบ้าง มันได้ผลแฮะ รถเมล์จอดหน้า โบตาตาวเลย

ถึงโบตาตาวแล้วก็ลงมา ก่อนเข้าไปก็จ่ายตังค่าตั๋วเข้า คนละ 6000 จ๊าด เค้าให้ตั๋วมา 3 ใบพร้อมกับผ้าเปียก ก็ไม่รู้ว่าผ้าเปียกเนี่ยเอาไว้เช็ดหน้าหรือเช็ดอย่างอื่น 555 

เก็บรองเท้าใส่ถุงผ้า ยัดใส่เป้เรียบร้อยแล้วก็เดินมาด้านใน ซึ่งมีทางเข้าและออกทางเดียวกัน เดินตามชาวพม่าเข้าไปเลย

เดินเข้าไปจะรู้สึกถึงความทองๆ พอมาถึงตรงนี้เขาก็เอามือแตะ เดินตามทางไปเรื่อยๆ เหมือนเดินในเขาวงกต ข้างในมีแอร์ ไม่ร้อนค่ะ อ่านป้ายบริจาค ก็คนไทยนี่แหละค่ะที่ไปบริจาคแอร์ให้กับเขา

ตามมุมที่เว้าเข้าไป จะพบเห็นชาวพม่านั่งหันหน้าเข้ามุม แล้วทำการสวดมนต์กันเยอะมากๆ เราก็เลยลองดูบ้าง รู้สึกดีค่ะเหมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดรบกวน ทั้ง 3 มุม ไม่มีใคร ส่วนด้านหลังก็ไม่ต้องสนใจใคร งี้ ดีมากๆ เลย คนสร้างคงออกแบบมาเพื่อการนี้

ด้านข้างๆ กำแพง ก็จะมีพระพุทธรูป และเจดีย์ มากมาย แต่มีลูกกรงกั้นไว้เรียบร้อย รับรองไม่หาย

ออกจากเขาวงกต ก็ไปสักการะเทพทันใจ ด้านในคนไม่ค่อยเยอะ เจ้าหน้าที่ที่อยู่ประจำตรงนั้นจะคอยบอกว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ซันก็เลยทำตามที่เขาแนะนำ

เดินชมทุกส่วนโดยรอบ จนพอใจ

นั่งพักและหาข้อมูลไปด้วยว่า ต้องไปยังไงต่อ

เที่ยวข้างในจนพอใจเช่นเคย เดินข้ามฟากมาจะเห็นชาวพม่ามาสักการะเทพกระซิบ ตอนนี้เขากั้นไว้ไม่ให้ไปกระซิบใกล้ๆ แล้ว มีคนทำแทน

จากนั้น กลับรถเมล์สาย 58 มาลงที่เจดีย์สุเล ระหว่างทางเดินผ่านตลาดสด 

เดินกลับมาโรงแรมก่อน เอาของไปเก็บ จากนั้นไปตลาดสก๊อต เพื่อซื้อของที่ระลึก ตลาดสก๊อตจะปิดตอน 5 โมงเย็น ก็ต้องรีบไปกันหน่อย เดินจากโรงแรมไปนิดเดียวเอง

ใกล้ตลาดมีโบสถ์ โฮลี่ ทรินิตี้ เดี๋ยวแวะมา ตอนนี้ไปช้อปปิ้งก่อน

ของที่ตลาดนี้ค่อนข้างราคาเป็นมิตร ไม่โก่งราคาจนเกินไป เราชอบ เราได้ของที่ระลึก และของฝาก จากที่นี่ 

มีแม่ชีน้อยมาเดินรับบริจาคด้วย มากันเป็นขบวนเลย เดินช้อปปิ้งจนเหนื่อย พักสักนิดนึง

ข้างๆ เป็นโบสถ์ ชื่อว่า โฮลี่ ทรินิตี้ เดินเข้าไปเก็บบรรยากาศได้

กลับมาพักที่ห้อง เอาของมาเก็บ ทีนี้ก็หากันว่า จะกินอะไรกันดีเย็นี้ ก็มีคนเสนอว่า กินร้านนี้มะ ฟิลเมียนมาร์ เค้ารีวิวไว้ว่า อร่อย  อ่ะ ละไปยังไง เจ้าลูกชายก็จัดการหาจนเจอว่า สาย 37 ก็เลยไปยังจุดเดิมคือ หน้าเจดีย์สุเล เพื่อขึ้นรถสาย 37 ตอนแรกก็เหมือนจะดี ขึ้นรถถูกคัน แถมกำลังมุ่งหน้าไปยังร้าน สักพัก ลูกมันก็บอกว่า เอ ทำไมไกลออกไปเรื่อยๆ (ดูตาม google map) แล้วยังไงไม่รู้ เจ้าลูกชายก็เงยหน้ามาบอกว่า ผิดสายอ่ะ ที่จริงต้องขึ้นสาย 39 เลขพม่ามันใกล้เคียงกัน ดูผิดไปหน่อย  เอ้อเอ้ย  ลงสิ รออะไร ลงป้ายถัดไปเลย จากนั้นข้ามถนน เพื่อรอรถสายเดิมกลับไป สรุป มาฟรี บ่าต้องกินมันละ ฟิลเมียนมาร์เนี่ย อันนี้ก็คือที่มาของชื่อทริปนี้

กลับไปกินร้านแถวๆ เจดีย์สุเล ชื่อร้าน King อร่อยมากๆ ชอบกิน Chan noodle กับซาลาเปา มื้อนี้จ่ายไปเพียง 5950 จ๊าด จากนั้นกลับไปนอนเอาแรง พรุ่งนีจะไปบาโกแต่เช้า นี้เป็นเมนูและราคา พวกเราสั่ง Chan noodle มากินตามโต๊ะข้างๆ

กินเสร็จก็เดินเล่นบริเวณนั้น อ้อ ลืมไป วันนี้เป็นวันสิ้นปี 31 ธันวาคม 2560 เค้ามีงาน Count Down แถวๆ ลานหน้าศาลาว่าการ ไหนๆ ก็ ไหนๆ ละ ก็เลยพากันเดินดูบรรยากาศงานฉลองของชาวพม่า มองไปเห็นเจดีย์สุเล เหลืองอร่ามอยู่

ปิดท้ายด้วยร้านขายข้าวหลามบ้านเค้า ซึ่งพอแกะออกมาขายแล้ว เปลือกมันก็ทิ้งไว้บนทางที่คนเดินไปมา เจ้ากรรมก็ดั้นเดินไปเหยียบ ทำให้มีข้าวติดรองเท้า ต้องมานั่งเช็ดและขัดอยู่ตั้งนาน อันนี้ถือเป็นข้อควรระวังมากๆ ข้าวหลาม!!!

Day 3 วันนี้ มีภาพสวยๆ จาก Lobby โรงแรม Central Yangon มาฝาก ก่อนที่เราจะไปเมืองบาโก หรือ หงสาวดี 

ออกเดินจากโรงแรมไปสถานีรถไฟไม่ไกลเลย เดินมาทางตึกซากุระ มาเรื่อยๆ ข้ามสะพานลอย ลงมาที่สถานีรถไฟเลย ของเราเป็นชานชาลา 1

ลงไปรอที่ชานชาลาที่ 1 มีชาวพม่ามารอขึ้นรถไฟ พวกเราก็เนียนอยู่ในนั้น

ที่สถานีรถไฟก็จะมีห้องน้ำเหมือนกัน ตอนแรกหาไม่เจอ ก็เลยเดินไปถามเจ้าหน้าที่ซึ่งน่าจะเป็นแม่บ้าน แอบหวังว่าเค้าจะมีทอยเล็ตฟอร์ฟอเรนเนอร์ เหมือนที่วัดงาทัตจี แต่ไม่มีแหละ แห้วซะงั้น นางพาไปห้องน้ำเก็บตัง เก็บค่าเข้าคนละ 100 จ๊าด เราก็จัดไป ลองเข้าไปดูซิ ณ จุดนี้ สามารถเข้าห้องน้ำได้ทุกประเทศละ ขณะที่รอรถไฟก็คอยมองหานักท่องเที่ยว ปรากฏว่า ไม่มีเลย ดูเหมือนจะมีแต่เรา 3 คน และชาวพม่า ก็เลยนั่งรถอยู่บริเวณนั้น สักพัก ก็มีนักท่องเที่ยวฝรั่งน่าจะมาเป็น group 4-5 คนพร้อมไกด์อีก 1 คน มายืนรอรถไฟ ก็เลยอุ่นใจว่า มีเพื่อนละ ดีใจมากกกก

แต่รถไฟกว่าจะมาถึง เราได้เที่ยว 8.00 น. มาปาเข้าไป 8.17 น.พอรถไฟมา ก็ขึ้นเลย ของเราเป็นโบกี้ 1 ไม่มีเลขอารบิคนะคะ ต้องเป็นเลขพม่าเท่านั้น สองคนนี้ตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นรถไฟ ถ่ายรูปกันใหญ่

ขึ้นไปได้ก็ไปยังที่นั่งที่จองไว้ เบาะรถไฟ upper class ก็จะคล้ายๆ กับเบาะรถทัวร์บ้านเรา แบบมีลายๆ สีน้ำเงิน อะไรทำนองนั้น นั่งสบาย ปรับเบาะเอนได้ คุ้มมากกับราคา 28 บาท แต่มีฝุ่นค่อนข้างเยอะบริเวณหน้าต่างหรือขอบๆ และที่พื้นรถไฟ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากมาย นั่งได้สบาย นักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นก็ขึ้นมาโบกี้เดียวกันกับพวกเรา

ก่อนรถจะออกก็จะมีการมาต่อตู้ พวกเรานั่งโบกี้แรก น่าจะเป็นการเอาหัวรถจักรมาต่อ ต่ออยู่ตั้งนานเกี่ยวไม่ติด พวกพนักงานเดินมาช่วยกันดูหลายคนมาก ถึงขั้นมีการตอกเสียงดังโป้ก โป้ก คือลุ้นมาก แบบว่า ต้องต่อตู้ด้วยการตอกเบอร์นี้เลยไหม ต่ออยู่เกือบครึ่งชั่วโมงถึงจะเสร็จ กว่าจะได้ออก เลทไปเกือบ 45 นาที

การเดินทางไปเมืองบาโกหรือหงสาวดี หากเดินทางโดยรถยนต์ ก็ใช้เวลา 2 ชั่วโมงเท่ากับการเดินทางโดยรถไฟ จากที่อ่านรีวิวมา มีหลายๆ คนที่เหมาแท็กซี่เดินทางมาจากย่างกุ้ง ราคาก็ประมาณ 70-80 USD อันนี้เราเลือกมาโดยรถไฟ ก็จะราคาถูกกว่าอย่างมีนัยสำคัญ บรรยากาศระหว่างทางรถไฟก็จะเห็นสภาพความเป็นอยู่

ใช้เวลาอยู่บนรถไฟประมาณ 1 ชั่วโมงกับอีก 45 นาทีก็มาถึงสถานีรถไฟบาโก (BAGO) คนก็ลงกันเยอะมาก แอบดูฝรั่ง เห็นเค้าก็เตรียมตัวลง ก็คิดว่า อันนี้แหละ ถูกชัวร์ ก็ลงกันเลย บรรยากาศที่สถานีรถไฟก็จะประมาณนี้ 

เราต้องข้ามทางรถไฟมาออกที่สถานี เพื่อซื้อตั๋วกลับ ขณะที่ยืนงงอยู่แถวๆ ที่ขายตั๋ว ก็มีคนพม่าเข้ามาถามเป็นภาษาอังกฤษว่า เรากำลังหาตั๋วอยู่ใช่ไหม มาทางนี้สิ แล้วเขาก็พาเราเข้าไปในห้องขายตั๋วเลย ก็เจอกับนักท่องเที่ยวฝรั่ง 2 คน กำลังซื้อตั๋วอยู่ ถามเจ้าหน้าที่เขาบอกว่าเที่ยวบ่าย 3 สามารถจองได้เลย แต่ถ้าเที่ยว 6 โมง 45 ให้เรามาดูอีกที ให้เรามาที่เดิมสัก 6 โมง ค่อยซื้อ งี้ ส่วนคนที่มาส่งเราซื้อตั๋วเขาก็พยายามช่วยถามและอธิบายให้เรา คล้ายๆ เป็นล่าม เขาแนะนำตัวเองว่า เขาชื่อ มิล 

พวกเราออกมาจากห้องขายตั๋วพร้อมกับ มิล มิลเสนอ 40000 จ๊าด สำหรับการเช่ารถและไปส่งเราเที่ยวทั้งวันตามที่เราต้องการ เวลาขณะนั้นประมาณเกือบ 11 โมง  ตอนแรกเราก็พยายามจะต่อเขา แต่ไม่มีคนอื่นมาเสนอเลย มีแต่มิล สุดท้ายเราก็ยอมในราคา 40000 จ๊าด 

เดินออกจากสถานีรถไฟบาโก มาพร้อมกับมิล เขาพาเราไปแวะที่ร้านเล็กๆ แถวๆ หน้าสถานี เค้าบอกให้เรารอแป้ปนึง เขาจะไปเอารถมา ขณะนั่งรอ พ่อของมิลก็มาคุยกะเรา บอกว่า มิลเป็นลูกเค้า อยู่กันกี่คน อยู่มากี่ปี โน่น นี่ นั่น คนนี้คือพ่อของมิล

สักพักมิลก็ขับรถกลับมา นี่จะเป็นพาหนะของเราวันนี้

บรรยากาศระหว่างทางที่มิลขับรถพาเราไปยังที่หมายที่แรก การจราจรค่อนข้างจอแจ รถราขับตามใจฉันมาก

ที่แรกที่มิลพาไปคือ วัดจ๊ะคะวาย (Kya Khat Wine Monastery) เพราะมิลบอกว่า เวลานี้จะเป็นเวลาฉันเพลของพระที่นี่ พวกเรานั่งสามล้อเครื่องของมิล ห้อปุเลง ไปยังวัดนั้น จอดหน้าวัดเลย แล้วก็เดินเข้าไปก่อนอื่นเลยคือต้องถอดรองเท้าก่อน มิลพยายามบอกว่า ไม่ต้องเก็บเข้าถุง วางไว้นั่นและ แต่พวกเราบอกว่า ไม่เป็นไร เราเตรียมถุงรองเท้ามาแล้ว  เดินผ่านอนุสาวรีย์ของนายพลอองซาน คุณพ่อของอองซาน ซูจี

เดินเข้าไปด้านใน กำลังมีการใส่บาตรพระที่เดินเข้าแถวมาเป็นแถวยาวเหยียด คนที่ยืนรอใส่บาตรส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดคือกรุ๊ปทัวร์ไทย เราก็เข้าไปตรงช่องว่างและหยิบเงินไทยในเป๋าตังค์ออกมาใส่บาตรบ้าง มิลบอกว่าที่นี่เป็นโรงเรียนสอนพระ มีพระและสามเณร เรียนอยู่ประมาณ 800 รูป

แล้วด้านในก็จะมีโต๊ะ และอาหารพร้อม เห็นมีกับข้าวอยู่ 2-3 อย่าง ไม่มาก พระและเณรที่เดินเข้ามาด้านในก็เข้าประจำโต๊ะอาหารเพื่อเตรียมฉันเพล

ต่อด้วยเจดีย์ชเวมอดอ (Shwe maw daw Pagoda) บริเวณทางเข้าด้านหน้า รถติดมาก เพราะนักท่องเที่ยวมากันเยอะ มิลพาลัดเลาะมาอีกทางที่ไม่ใช่ทางหลัก แล้วก็เดินเข้าด้านข้า  เจดีย์ที่นี่มีความสวยงามมาก เหมือนกับชเวดากองทุกอย่าง มิลบอกว่าเป็นเจดีย์ที่มีควาสูงเป็นอันดับ 1 ของพม่าเลย ที่นี่เราต้องซื้อตั๋วราคา 10000 จ๊าดต่อคน เป็นตั๋วที่สามารถใช้เข้าสถานที่ได้ 4 แห่ง ได้แก่ ชเวมอดอ พระราชวังบุเรงนอง ไจ๊ปุ่น และ พระนอนชเวตาเลียว มาถึงแล้วค่า เจดีย์ชเวมอดอ

นี้เป็นพระพุทธรูปที่ทำจากไม้ไผ่

แดดจ้า ฟ้าใส เช่นเคย มิลเดินไปหยิบร่มมาให้ ช่วยได้เยอะมาก กิจกรรมในนี้ก็เป็นการเดินชมความงดงามของเจดีย์ และกราบพระพุทธรูปต่างๆ

ได้เวลาเที่ยงละ เริ่มหิวข้าว เราขอให้มิลพาไปกินอาหารพื้นบ้าน ที่เป็นร้านของคนพม่า มิลพาเรามากินที่นี่ อาหารเป็นแบบข้าวแกง ตักเป็นจาน และสั่งข้าวมากิน อาหารอร่อยพอใช้ได้ แต่มันเยอะไปหน่อย ส่วนอันนี้เป็นเหมือนน้ำพริก กินกับข้าวอร่อยดี เค็มๆ คล้ายๆ แจ่ว

ต่อด้วยพระราชวังบุเรงนอง มิลบอกว่า ที่จริงพระราชวังนี่ หน้าตาเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ ใช่จริงไหมก็ไม่มีใครรู้ แต่รัฐบาลก็ได้ทำการบูรณะและสร้างใหม่เป็นหน้าตาแบบนี้  พวกเราก็เดินชมสถานที่ไป  เดินตามมิลไปเรื่อยๆ

ที่นี่รู้สึกเฉยๆ ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ สถานที่ไม่ค่อยโอ มีวัยรุ่นไปนั่งพลอดรักกัน

อยู่กันเพียงสักครู่ แวะกราบพระนางสุพรรณกัลยา ซึ่งอยู่ติดกัน แล้วก็ขึ้นรถออกมา ที่ต่อไปคือ พระนอน เซงตาเลียว ซึ่งที่นี่ไม่ค่อยมีทัวร์ไปเพราะไม่ดัง มีแต่คนท้องถิ่นเข้าไปสักการะพระนอน ขึ้นไปถึงก็เจอแบบนี้

ตรงนี้เป็นพระที่อยู่ในศาลากลางน้ำ มิลเป็นคนบอกให้พวกเราแวะกันก่อนที่จะขึ้นไปสักการะพระนอน

เจดีย์สีนี้พบเห็นได้ยากมากในพม่า เห็นแต่เจดีย์สีทอง

อีกสักรูปสองรูป

นี้คือพระนอนเซงตาเลียว

จากเซงตาเลียว มิลถามว่า เราอยากจะไปดูงูไหม เป็น big snake เราก็บอกว่า ไม่อยากไปเพราะไม่ชอบ โปรแกรมนี้ก็เลยผ่านไป แต่มิลก็พาเราแวะที่เจดีย์แห่งนึงที่เป็นทางผ่าน บอกให้พวกเราแวะขึ้นไปดูเป็นพาโนรามาวิว  ก็เลยจัดไป ถอดรองเท้าถุงเท้า ขึ้นบันไดไปอีกสูงมาก ระหว่างทางเจอเณรและเด็กน้อยก็เลยชักรูปถ่ายกัน  

วิวด้านบนก็จะสวยงามประมาณนี้  ตอนนั้นแดดร้อนมาก พวกเราก็เดินกันแป้ปเดียวแล้วก็ลงมา ชาวพม่าก็ขึ้นมาสวดมนต์ทำบุญกัน


ลงบันไดมาเจอมิลกำลังซ่อมรถอยู่ เขาบอกว่ารถมีปัญหาบางอย่าง แต่ก็ขึ้นมานั่งแล้วก็ขับออกไปได้ ทางไปจากวัดนี้ค่อนข้างหฤโหด แบบเป็นถนนลูกรังผ่านหมู่บ้านต่างๆ คือได้เห็นวิถีชีวิตของคนทีนี่อย่างแท้จริง ถนนก็ขะต๊อกขะตอน ประมาณว่าเกาะขอบรถจนแขนเกร็งว่างั้น  มิลบอกว่า เขาขอแวะบ้านแป๊ป เพื่อไปเอาโทรศัพท์จะได้โทรไปจัดการเรื่องรถ พวกเราก็โอเค มิลแวะที่บ้านใช้โทรศัพท์เสร็จ เขาก็พาพวกเราออกมาสู่ถนนใหญ่ แวะร้านซ่อม คุยโน่นนี่นั่น พวกเรารู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีละ

มิลกลับขึ้นมานั่งข้างบนรถกับพวกเรา และก็บอกว่า รถไม่ดี บางอย่างมันแตกข้างใน ต้องทำการเปลี่ยน แต่เดี๋ยวเค้าจะให้เพื่อนเข้ามารับพวกเราต่อ พาไปเที่ยวในส่วนที่เหลือ และพ่อเค้าเป็นไกด์พาพวกเราไป แต่ตอนนี้ให้จ่ายเค้ามาก่อนเลย 40000 จ๊าด เค้าจะเคลียร์กับเพื่อนเค้าเอง เราไม่ต้องจ่ายอะไรอีกแล้ว 

ห้ะ เราก็งง ขอจ่ายแค่ครึ่งหนึ่งก่อน เพราะถ้าเพื่อนเค้าทิ้งเราล่ะ จะทำยังไง เงินก็จ่ายไปแล้ว มิลก็บอกว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวพ่อเค้าจะไปกับเราด้วย เราก็เลยยอม คือ ไม่รู้จะทำไงอ่ะ เสี่ยงดวงเอาก็แล้วกัน ก็เลยทำการเปลี่ยนรถเป็นรถของเพื่อนเค้า และพ่อของมิลก็เข้ามานั่งกับพวกเราด้วย

ที่ต่อมาคือ เราไปเจดีย์ไจ๊ปุ่น (Kyaik Pun) ที่นี่เป็นพระที่นั่งหันหลังชนกัน 4 ทิศ เราชอบที่นี่มากเลย พ่อของมิลเป็นคนพาพวกเราขึ้นไป เห็นป้ายให้จ่ายค่ากล้องถ่ายรูป 300 จ๊าด แต่พ่อของมิลไม่ได้ให้พวกเราจ่าย เดินตามกันขึ้นไปด้านบนได้เลย ซึ่งเช่นเคย เราต้องถอดรองเท้าใส่ถุง แล้วก็เก็บใส่เป้ขึนไป พอลงมาก็ต้องมาใส่รองเท้าถุงเท้ากันอีก จะไม่สะดวกก็ตรงนี้แหละ

เรากดไลค์ให้ท่าถ่ายรูปของคุณพ่อของมิล เพื่อให้ได้รูปนี้มา ทุ่มสุดตัว นอนลงไปเลย

แตะซะหนอยว่า มาละ

เราวนชื่นชม ถ่ายรูปพระพุทธรูปจนครบ 4 ด้าน ใช้เวลาไม่นานมากเพราะบนวัดมีบริเวณนิดเดียว ก่อนกลับขออีกสักรูป

พ่อของมิลถ่ายรูปบรรยากาศบนรถสามล้อของเพื่อนมิลให้พวกเรา (โอ้ ความสัมพันธ์เริ่มงงละ)

ที่ถัดไปคือ เจดีชะเวกุเล (Shwegukalay Pagoda)  ที่นี่พ่อของมิลบอกว่า ถอดรองเท้าไว้บนรถเลย ไม่เป็นไรไม่ต้องเกรงใจ คือที่จริงเราก็ไม่ได้เกรงใจ แต่กลัวหาย 555 แต่ด้วยว่าที่นี่เป็นที่ที่ 6 แล้วที่เราจะต้องถอดๆ ใส่ๆ ก็เลยลองดู  ส่วนพวกเป็นเอามาก งั้นไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ฝากกระเป๋าด้วยก็แล้วกัน พวกก็ฝากเป้ไว้บนรถด้วยเลย เอาแต่กล้องถ่ายรูปลงมา สรุป เดินเท้าเปล่ากันลงมาจากรถสามล้อเครื่อง

ชะเวกุเล เป็นวัดที่มีพระพุทธรูปอยู่ในอุโมงค์ เรียงกันเป็นแนวๆ 

เดินเข้าไปทางนั้นเลย ที่เป็นประตูเขียวๆ

ชมด้านในเสร็จก็เดินออกมาชมด้านนอก  ขณะเดินๆ อยู่ ก็เปิดปวดฉี่ เลยถามลุงว่า มีห้องน้ำไหน ลุงบอกมีๆ เดี๋ยวพาไป ไอ้เราก็นึกภาพเป็นห้องในน้ำในวัด เหมือนที่เคยเข้าที่ย่างกุ้ง แต่ทว่า ไม่จ้า เป็นห้องน้ำเก็บตัง ตั้งอยู่นอกวัดอีกที  ซึ่ง ณ จุดนั้น เดินเท้าเปล่ากันอยู่ ลุงก็เดินนำลิ่วออกไป พร้อมกวักมือเยิ้บๆ มาเลย มาเลย คือ มันกลับตัวไม่ได้แล้ว พีคมาก คือ เดินเท้าเปล่าเข้าไปฉี่ในห้องน้ำสาธารณะแห่งประเทศพม่า กรีดร้องในใจตลอดเวลา!!!

จัดไป ยังดีที่แยกชายหญิง ในภาพคือฝั่งผู้ชาย ที่ซันอุส่าห์ถ่ายรูปมาให้ด้วย ออกมาก็จ่ายตังคนละ 100 จ๊าด คือ ทำได้ทุกอย่างละ นาทีนี้ กลับขึ้นมาบนเจดีย์เดิม เปลี่ยนโหมดเป็นมาไหว้พระ แล้วก็กลับลงมา ลุงเหมือนจะรู้ ยกผ้าเช็ดเท้ามาให้พวกเราได้เช็ดฝุ่นออกจากเท้า ก่อนออกจากวัด

กลับขึ้นมาบนรถได้ก็ไม่ใส่มันละ รองเท้าถุงเท้า อยู่แบบเท้าเปล่านี่แหละ เดี๋ยวก็ต้องถอดอีก  ที่ถัดไปคือ มหาเจดีย์ (Mahazedi Pagoda) ที่นี่ผู้หญิงขึ้นไปด้านบนเจดีย์ไม่ได้ ให้ขึ้นได้เฉพาะผู้ชาย แต่ผู้หญิงก็ขึ้นไปได้เพียงชั้นแรกเท่านั้น พอรถขึ้นมาถึงที่นี่ เราเจอกับมิล ที่มารอยู่แล้ว  มิลดำเนินการเรื่องรถเสร็จแล้ว แต่ยังซ่อมไม่ได้ต้องรออะไหล่ เขาก็เลยกลับมาหาพวกเราต่อ มิลบอกว่า มิลแอบไปแข่งฟุตบอลแป๊บนึงด้วย ชนะ 2-0 แล้ว 3 หนุ่ม ก็เดินขึ้นไป เอาวิวด้านบนมาฝากเพราะเราขึ้นไม่ได้จ้า


วิวด้านบน สวยงามอลังการมาก ซันบอกว่า ขึ้นไปข้างบน ไม่มีที่จับเลยนะแม่ ต้องเอาตัวชิดๆ ผนังไว้ น่ากลัวมากเลย


แล้วก็ไปต่อที่ พระนอน ชเวตาเลียว วัดนี้ดัง เห็นมีป้ายบริจาคมากมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทย ที่นี่เราทิ้งทุกอย่างไว้บนรถเช่นเคย พระนอนที่บาโก มีอยู่ 3 องค์ เรามาองค์นี้เป็นลำดับที่ 2 แต่องค์นี้ดังที่สุด มีตำนานการสร้างพระนอนวาดไว้เป็นรูปให้ดู ทางเข้าเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก และแน่นอน คนขายส่วนใหญ่พูดไทยได้จ้า เริ่มที่ป้ายบริจาคก่อน เยอะมาก

 

ที่สุดท้ายก่อนกลับของพวกเราคือ เมาะตาเลียว เป็นพระนอนเช่นกัน แต่ที่นี่ไม่ค่อยดัง ไม่มีกรุ๊ปทัวร์ไทยเลย มีแต่คนพื้นที่ เป็นพระนอนที่อยู่กลางแจ้ง ดูเงียบเหงา แต่ยังคงความงามท่ามกลางอาทิตย์อัสดง

ครบเลย 9 วัด ไม่น่าเชื่อเหมือนกันที่เที่ยวภายในวันเดียว ทุกที่ที่ไปคงไว้ซึ่งความงามตามอารยธรรม มิลพาเราไปทั้งหมด 11 ที่ ได้แก่ จ๊ะคะวาย ขเวมอดอ พระราชวังบุเรงนอง ร้านอาหารเที่ยง เซงตาเลียว วัดที่มีวิวพาโนรามา วัดไจ๊ปุ่น ชะเวกุเล มหาเจดีย์ ชเวตาเลียว และ เมาะตาเลียว (9 วัด) เราว่าคุ้มมากกับราคาที่เหมาเค้ามา

และแล้วก็ได้เวลาอันสมควร ใกล้ 6 โมงเย็นละ มิลก็พาเรากลับไปยังสถานีรถไฟ พอเข้าไปที่ขายตั่ว เค้าบอกให้เรารอแป้ปนึง พร้อมกับขอพาสปอร์ตของพวกเราเพื่อออกตั๋ว  มิลเดินกลับออกมาบอกว่า ตั๋วมีเพียง 2 ที่เท่านั้นเพราะบาโกเป็นเมืองทางผ่าน เขาแบ่งโควต้าให้บาโกเพียง 2 ที่  ซึ่งเป็น ordinary class (หรือรถไฟชั้น 3 นั่นเอง) ราคาตั๋วคนละ 600 จ๊าด หรือประมาณ 13 บาทต่อคน  แต่พวกเรามี 3 คน ทำยังไงอ่ะ ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ก็ตกลงกันว่า ดีกว่าไม่มีอ้ะ งั้นก็ผลัดกันยืนคนละ 30 นาที เพราะมีที่นั่งแค่ 2 แต่เรามี 3 คน ก็เลยยืนยันให้เค้าออกตั๋วไปเถอะ เรายอม

รอไปอีกสักพัก มิลออกมาอีกรอบ บอกว่า ที่นั่งที่ได้ ติดกับห้องน้ำ อาจจะมีกลิ่นจากห้องน้ำมาบ้างนะ โอเคไหม เอิ่มมมม พูดได้คำเดียวว่า We have no choice!!!! Give me the tickets.. คือว่าเดินเท้าเปล่าเข้าห้องน้ำพีคแล้วนะ  อันนี้พีคกว่าอี๊กกก จ่ายค่าตั๋ว 3 ใบ แต่ได้มา 2 ที่นั่ง  แถมยังไม่พอ ติดห้องน้ำรถไฟอีก มะ ลองดูซักตั้ง  แล้วมิลก็เอาตั๋วมาให้พวกเรา พร้อมกับ Say Goodbye ร่ำลากันเรียบร้อย นี่คือตั๋วของเรา

นั่งรอรถไฟ พร้อมกับทำใจไปพลางๆ (นึกในใจว่า กูตายแน่) จกขนมออกมากินแก้หิว ปวดฉี่เก็บไว้ก่อน เดี๋ยวจัดบนรถไฟ ไหนๆ ก็นั่งใกล้ห้องน้ำละ

พวกเรานั่งรอเวลาขึ้นรถไฟ พอรถไฟมาถึง ชาวพม่าก็กรูกันเข้าไป ซึ่งก่อนเข้าไปก็จะมีพนักงานเช็คตั๋วให้ เค้าขีดบนตั๋วแล้วชี้ให้พวกเราไปรอยังโบกี้ที่ 1 นั่นไง รถไฟมาละ ก็ขึ้นไปเลย  ปรากฎว่าผิดคาดแฮะ มีที่ว่างนะ ก็เลยไปนั่ง และก็ได้นั่งจนถึงย่างกุ้งซะด้วย โชคดีมาก เราคิดว่าถูกละที่เค้าบอกว่าออกตั๋วให้ได้ 2 ที่ เพราะได้โควต้ามาแค่นั้น แต่เค้าคงลืมหักลบคนลงที่สถานีนี้หรือป่าวหนอ  จองบนกระดาษก็เงี้ย ต้องรอให้มีแบบ online ดูว่าจะเป็นยังไง นี่ไง ว่างจะตาย!!!

ตอนลงจากรถไฟ แล้วทุกคนจะต้องขึ้นบันไดเพื่อออกจากสถานี จะมีคนเก็บตั๋ว คือ ทุกคนจะต้องส่งตัวของตัวเองให้กับคนเก็บ ซึ่งยืนอยู่บนขั้นบนสุดของบันได้ โดยมีเพียง 1 คน ต่อคนทั้งหมดนี้ โอ้แม่จ้าว

กลับมากินอาหารร้านเมื่อวาน ชื่อร้าน king อยู่แถวๆ ป้ายรถเมล์ใกล้ๆ กับเจดีย์สุเล 

Day 4 วันนี้เราจะกลับบ้านกันแล้ว ตื่นมาเดินเล่นในเมือง ดูสถานที่สำคัญต่างๆ ของย่างกุ้ง ชมโบสถ์ในเมือง ชื่อโบสถ์เซนต์แมรี่ เป็นโบสถ์ที่ประสันตะปาปาฟรังซิส มาเยือนพม่าเมื่อครั้งก่อน 

ตึกในเมืองย่างกุ้ง จะมีความเก่า แต่ก็ดูไม่เบื่อนะ 

พอใกล้ๆ 10 โมงก็เดินกลับไปยังตลาดสก๊อตเพื่อซื้อของฝากเพิ่ม เดินผ่านซอยนึง มีคลินิกแพทย์ กับร้านยาเยอะมาก คือ ป้ายของแพทย์ Specialist แทบทุกสาขาเลยทีเดียว

สำหรับทริปย่างกุ้งครั้งนี้ เราไม่คิดว่าจะสนุกอะไรมากมาย แต่ผิดคาดจริงๆ การมาครั้งนี้ทำให้เราเห็นอะไรหลายอย่าง สนุกกับการท่องเที่ยว และการเผชิญกับประสบการณ์ใหม่ๆ อีกอย่างที่เราสังเกตเห็นก็คือ เจ้าลูกชาย ที่สามารถเที่ยววัดกับผู้ใหญ่ได้ เค้าดูตื่นตาตื่นใจ สนุก และใช้ปฏิภาณไหวพริบในการแก้ไขปัญหา ไม่งอแง ไม่เรียกร้อง ไม่ดูถูกใคร และเห็นคุณค่าของความเป็นคนไทย 

สำหรับครอบครัว ตอนนี้คำว่าท่องเที่ยว ไม่ใช่แค่ Destination อีกต่อไป ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

หมายเลขบันทึก: 643899เขียนเมื่อ 10 มกราคม 2018 19:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มกราคม 2018 22:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท