ดูไบ ไม่ไปไม่รู้


ดูไบ ไม่ไปไม่รู้

ทริปนี้เป็นการไปเที่ยวโดยมิได้เตรียมข้อมูลใดๆ ไปโดยสิ้นเชิง มอบการเตรียมทริปให้กับเจ้าซันและน้องๆ เนื่องด้วยกำลังอยู่ในภาวะที่เครียดมากๆ จากการเจ็บป่วยของบุคคลอันเป็นที่รัก แต่ด้วยว่าได้จองทุกสิ่งอย่างสำหรับการไปเที่ยวครั้งนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว ก็นั่นแหละ โลกยังคงหมุนไป อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด จึงตัดสินใจดำเนินไปตามแผนเดิม ปลีกตัวจากปัจจุบัน ไปท่องเที่ยวเพื่อเติมพลังกลับมาสู้ต่อไป

เราเดินทางกันด้วยตั๋ว stand by ของ Etihad airway ราคาตั๋วไปกลับ Bkk Abu Dhabi 5890 บาทต่อคน รวมตั๋วไปกลับ เชียงใหม่กรุงเทพ ค่าเดินทางโดยเครื่องบิน ไปกลับทั้งหมด เจอไป 9260 บาทต่อคน ส่วนการทำวีซ่า ทำ Visa online ผ่าน web ของ Etihad ได้เลย โดยมีน้องในกลุ่มเป็นผู้ดำเนินการให้ ส่วนพวกเราเหรอ ส่งเอกสารอย่างเดียววว  ค่าทำวีซ่า 3352.75 บาท อ้อ 1 AED = 10 บาทไทย

ส่วนการติดต่อสื่อสารกับเพื่อนผองน้องพี่และครอบครัว เราได้ซื้อ Sim to fly ไป ราคาก็ตามโปรโมชั่น ใช้ค่อนข้างสะดวก และไม่ขาดการติดต่อใดๆ เลย แต่มีปัญหานิดหน่อยในการทำ Wifi calling ซึ่งก็ทำให้ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นมากมาย ยังไงถ้าใครจะไปก็หาข้อมูลให้ดีก่อนนะจ๊ะ

เดินทางไปถึงสนามบิน Abu Dhabi เวลา 05.40 น. แต่กว่าจะผ่าน ตม รับกระเป๋าก็ยมไปตามๆ กัน เพราะว่าเราได้นอนกันนิดเดียวบนเครื่องบินนั่นเอง ไปถึงสนามบินก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย แล้วก็ไปยังรถบูธรถเช่า ที่ได้ทำการเช่าไว้ผ่านทางเวป

พวกเราได้รถสำหรับ 5 คนยี่ห้อง Ford Eco sport นั่งไม่ค่อยสบายเท่าไหร่  แต่ก็ไม่เป็นไร สามารถอยู่แล้ว ขอให้พากันไปได้เถอะ งานนี้ต้องชมน้องๆ ที่ได้เตรียมทำใบขับขี่สากลไปจากเมืองไทยล่วงหน้าเรียบร้อย 1 วันก่อนการเดินทาง ^^

การขับรถที่นี่เป็นพวงมาลัยซ้าย ใช้เวลาปรับตัวเพียงไม่นาน ก็ขับฉิวเลย พวกเราออกเดินทางจากสนามบินที่ Abu Dhabi ไปยัง Dubai ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง  พอถึง Dubai ก็ตรงไปยังที่พักทันที 

ที่พักที่แรกของเราดีมากๆ เป็นห้องใหญ่โตโอ่อ่า (คือไม่เคยพักดีขนาดนี้มาก่อน ทุกทีพักแต่แบบโลโซ) มีห้องครัวสำหรับทำอาหารด้วย และมีห้องนอนตั้ง 3 ห้องเชียวนะ  

เข้าไปห้องพักได้ ก็จัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย  และออกไปกินอาหารกัน ระหว่างการเดินทางไปยังที่กินอาหารก็มีเรื่องตื่นเต้นเล็กน้อย คือ ออกรถไปสักพักแล้ว  น้องคนขับรถก็บอกว่า ตายละ ลืมเอาใบขับขี่ออกมาด้วย ทำไงดี  ทีนี้ก็ต้องภาวนากันละว่า อย่าให้โดนโบกเล้ยยย ได้เข้าคุกขี้ไก่ดูไบแหง๋ๆ

พวกเราถึง Dubai mall โดยตลอดรอดฝั่ง จอดรถในที่จอดรถได้แล้วก็พุ่งเข้าอาคารของ mall ทันที มื้อแรกใน Dubai พวกเราไปหากินใน Dubai mall เป็นศูนย์อาหาร ราคาอาหารที่นี่ไม่ได้โหดอะไรมากมาย  แถมมีให้เลือกหลากหลายมากๆ  นั่นไง KFC ก็มี

มี water world ตรงนี้ต้องเสียเงินเข้าไป ก็ดูข้างนอกก็พอ

จากนั้นก็เดินเที่ยวไปมา ดู water fall ลูกบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ว่าชีวิตคน มีขึ้นมีลง ไรงี้

ไปกินขนมหวานร้าน Paul กัน คือ หวานมาก อันที่จริงบ้านเราก็มีนะร้านนี้ แต่อยากลองเข้าไปซึมซับบรรยากาศที่นี่ ว่าคนที่นี่เค้ากินอะไร อยู่ยังไง เหมือนบ้านเราไหมนะ 

อันนี้พ่อแม่ลูก เค้ากำลังเลือกเมนูกันอยู่

พ่อแม่ลูกครอบครัวนี้ดูดีนะ ดูรักกันดี

ต่อด้วยการไปซื้ออาหารเย็นในซุปเปอร์มาเก็ต ซึ่งอยู่ใน Dubai mall นั่นแหละ เตรียมไว้เย็นนี้เลย

ตึก Burj Khalifa ตั้งอยู่ใกล้ๆ กันกับ Dubai mall นั่นเอง ส่วนบรรยากาศข้างนอก mall ก็จะเป็นตึก และร้านรวงต่างๆ วิว ดูสวยงาม แต่แดดแรงมาก บอกเลย

รูปหมู่ก็มา แม้แดดจะแรง แต่ก็ยังสนุก

ต่อด้วยหาด Jumaireh ขับรถไปตาม google map ซึ่งพาเราไปแบบงงมาก ก็เลยมาโผล่ส่วนไหนก็ไม่รู้ของหาด ไม่เหมือนรูปที่เห็นจาก internet เลย ไม่เจอซักอย่างทั้งเครื่องเล่น ทั้งสวนที่สวยงาม ตามรูปที่ดูมา มีแต่หาดทรายกับน้ำทะเล ยังไม่พอ มีคนเล่นน้ำอยู่ด้วย แต่ก็คงใช่ละแหละ มาถึงแล้วนิ ลงไปดูหาดกัน ลมแรง แดดแรง  สรุป แรงหมด นี่คือ หาดจริงๆ

เดินเล่นสักพัก  ก็พากันไป Souk Madinat Jumeirah อันนี้ก็ไม่รู้จัก ซันเป็นคนอธิบายให้ฟังว่าเป็นที่ขายของพื้นบ้าน  มีคลองให้ล่องเรือ ซันบอกว่าเป็นคลองที่มนุษย์สร้างขึ้น พวกเราไม่ได้ล่องเรือ เพราะดูราคาแล้ว แพงไป เอาเป็นเดินชมบรรยากาศกันก็พอ

ที่นี่เราได้ของที่ระลึกเป็นตึก Burj Khalifa จำลอง ราคาไม่แพงเลย  และที่นี่น้องได้ซื้อชุดพื้นเมืองที่ผู้ชายใส่กัน เป็นชุดขาวทั้งชุด รวมทั้งผ้าคลุมผมสีขาว ด้วย ราคาทั้งชุดก็ไม่แพงเลยคิดเป็น 2000 บาทไทยเท่านั้นเอ้งงง  คือตั้งใจมาจากเมืองไทยเลยว่าจะมาซื้อชุดพื้นเมืองของที่นี่เพื่อใส่เดินเที่ยว จะได้เข้าบรรยากาศ

ที่นี่เรามองตึก Burj Al Arab ซึ่งเป็นโรงแรม 7 ดาว (ลูกอธิบายให้ฟังตามเคย) มองจากที่นี่ก็เห็น

จากที่นี่เรากลับมายัง Dubai mall อีกครั้ง  เพื่อรอดูน้ำพุข้างตึก Burj Khalifa ซึ่งจะจัดแสดงทุก 30 นาที โดยจะเริ่มประมาณ 2 ทุ่ม  

ดูน้ำพุเต้นระบำเสร็จแล้วก็ยังกลับไม่ได้ เพราะนึกขึ้นได้ว่า เวลาสวมชุดสีขาว  ข้างในก็ต้องเป็นสีขาวด้วยมั๊ย ไม่งั้นก็จะต้องเห็นลวดลายของเสื้อผ้าข้างในน่ะสิ ว่าแล้วก็ต้องเข้าห้างกันเพื่อซื้อเสื้อและกางเกงสีขาวอีก  คือทุ่มทุนมหาศาลมากงานนี้  

ซื้อเสร็จแล้วก็เข้าซุปเปอร์มาเก็ตกันเพื่อหาอาหารกิน  พวกเราซื้ออาหารไปทำกินเองที่ที่พัก ทำให้ประหยัดค่าอาหารไปได้มาก เมนูเย็นนั้น อร่อยสุดๆ ก่อนจะนอนก็คุยกันว่า พรุ่งนี้เราจะไปไหนกันบ้าง  แผนเที่ยวคร่าวๆ คือ ไปขึ้นตึก Burj Khalifa แห่งนคร Dubai ซึ่งพวกเราจะต้องจอง online ไว้ก่อน เค้าจะมีเวลาให้เลือกว่าจะเข้าชมเวลาไหน ซึ่งสร้างความตื่นเต้นมากว่าจะจองทันไหม  และด้วยฝีมือของน้องผู้น่ารัก พวกเราก็สามารถจองได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด โดยได้เข้าชมในช่วงเช้า

ตื่นเช้ามาทำอาหารเช้า และเรียกทุกคนมากินให้เรียบร้อย จากนั้นก็เตรียมตัว Check out เพื่อไปตามแผนการท่องเที่ยว  ไป Dubai mall กันอีกเช่นเคย เพราะทางขึ้นชมตึก อยู่ใน Dubai mall ก่อนที่จะขึ้นไปก็จะมีกิจกรรมให้ทำตลอดทางเดิน  จนกระทั่งขึ้นลิฟต์เพื่อไปชมวิวบนยอดตึก

ตอนแรกงงมากว่าอันนี้ให้ทำอเไร คือให้ไปยืนที่จุดที่เขาให้ยืน มองขึ้นไปก็จะเห็นยอดตึกอยู่ในวงกลมนี้นั่นเอง

เดินไปเรื่อยๆ ตามทางเดินนี่  อ้อ เก็บตั๋วไว้กับตัวให้ดีนะคะ เพราะว่าจะมีขอดูเรื่อยๆ ก็งงกันว่า ถ้าไม่มีตั๋วแล้วจะเข้ามาได้ยังไงหนอ ตรวจซะ

ไหนๆ ก็ขึ้นมาละ เสริมสวยซะหน่อย

ส่วนนี้ หล่อ ภายใต้ชุดพื้นเมืองที่ได้มาเมื่อวาน

บ้างก็ชมวิว บ้างก็ถ่่ายรูป คือใช้เวลาให้เต็มที่ ค่าขึ้นมาแพง

เช่นเคยว่า จะต้องมีร้านขายของที่ระลึก ซึ่งมีโมเดลของ Burj Khalipha เหมือนที่เราซื้อกันไปเมื่อวาน แต่ราคาต่างกันประมาณ 4 เท่าจ้า ไม่สิๆๆ อาจจะไม่เหมือน วัสดุอาจดีกว่า จึงแพงกว่า

กิจกรรมที่ต้องทำเป็นประจำคือ ส่งโปสการ์ดถึงตัวเองที่เมืองไทย บนนี้เค้าก็มีให้บริการค่ะ รวมทั้งมีสแตมป์ให้ด้วย อ้อ ตู้ไปรษณีย์ก็มีด้วย

เรากินข้าวกลางวันที่ Food center กันอีกครั้ง  คราวนี้เราเริ่มพัฒนา  จัดการไปซื้ออาหารที่ซุปเปอร์มาเก็ต มานั่งกินที่นี่ ซื้อกันมาแบบจัดเต็มมาก

บรรยากาศในซุปเปอร์มาเก็ต ก็เหมือนกันกับบ้านเรา

ร้านขายอินทผาลัม หรือ Date ร้านนี้อยู่ใน Dubai mall น้องแนะนำว่าถ้าจะซื้อของฝากเกรดพรีเมี่ยม ต้องร้านนี้

ขับรถผ่าน The Palm ที่เค้าว่าทักษินมาพักอยู่ที่นี่ ช่างเป็นย่านของผู้มีฐานะมาซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงๆ เอาล่ะ ช่างเขาเถอะ จากตรงนี้เราจะไปดูโรงแรม Atlantis ที่ยิ่งใหญ่อลังการ ด้านหน้าโรงแรมเป็นชายหาด แดดแรงมาก พร้อมลม

แม้แดดจะแรงแค่ไหน ก็ไม่ยั่น สำหรับนักท่องเที่ยวคนนี้

จากที่นี่เราพากันขับรถกลับไปยัง Abu Dhabi ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเช่นเคย  ระหว่างทางแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มและลงไปสำรวจอาหารว่างกัน นี่เลย ไอติม 

ถึง Abu Dhabi แล้วก็เข้าที่พัก ที่พักของเราชื่อว่าโรงแรม Al Ain โรงแรมที่นี่แปลกมาก คือถ้าจะจอดรถ จะต้องเสียค่าจอดรถให้เรียบร้อยก่อน แล้วก็เอาบิลวางไว้ด้านหน้ากระจกให้เห็นว่า ฉันจ่ายแล้วนะ  เพราะตอนแรกพวกเราเข้าใจผิด คิดว่าจอดฟรี ก็เลยจอดกัน ปรากฎว่าอีกวันเจอใบสั่งค่าปรับ  ให้ไปจ่ายค่าปรับซึ่งแพงเอาการอยู่  และกว่าจะหาที่จ่ายกันได้ ก็ต้องใช้ความพยายามและความอดทนน่าดูเลย

ที่นี่ซันเจอคนรู้จัก เป็นคุณครูที่โรงเรียนอัสสัมชัญ เห็นทักทายกันใหญ่  แหม มาไกลขนาดนี้ ยังจะเจอคนรู้จัก แถมพักโรงแรมเดียวกันซะงั้น

จากโรงแรมก็มุ่งหน้าไป Sheikh Zayed Grand Mosque ที่นี่เค้าให้เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย แยกหญิงชาย คือใส่ชุดคลุมทับไปแล้ว แต่แบบว่า ร้อนมากเลย  เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินเข้าข้างใน แต่ก่อนไปขอเติมกาแฟในกระแสเลือดกันเล็กน้อย

 บรรยากาศด้านในสวยงามมาก เรามากันตอนเย็น อยู่กันจนถึงพระอาทิตย์ตก เห็นวิวของ Grand Mosque ทั้ง 2 แบบ สวยงามประทับใจมากมาย ส่วนนี้เป็นด้านนนอก ก่อนที่จะเข้าไปกัน

สิ่งที่ได้เห็นเมื่อเข้าไปนั้น สวยงามน่าประทับใจเหลือเกิน ขาวโพลนละมุนละไมไปหมด รูปนี้ชอบมาก จริงๆ

คอสตูมวันนี้ ชนะเลิศมาก เนียนเป็นคนที่นี่ไปเลย (ถ้าดูจากด้านหลัง)

อีกสักรูป สวยจริงๆ คือบรรยากาศตอนนั้นเย็นย่ำ พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน

เราเดินกันไปตามทางเดิน ผนังลวดลายแปลกตา เข้าไปชมโคมไฟระย้าที่ใหญ่มาก ดูเหมือนจะใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา และดูพรม ที่น้องบอกว่า ไม่มีรอยต่อเลย นี้เป็นบรรยากาศด้านใน

เราเดินตามคนไปเรื่อยๆ จนถึงทางออก คือ เดินวน 1 รอบ ซึ่งยังคงความงามอยู่ทุกจุด แม้เวลาและแสงสีจะเปลี่ยนไปก็ตาม


ออกมารอก็นานละ ทำไมอีกเซตนึง ยังไม่ออกมากัน ก็เลยลองเดินกลับไปตามหา เห็นเจ้าซันกับน้องพากันเดินวนไปมาอยู่แถวๆ ชั้นวางรองเท้า นึกในใจว่าโดนละ รองเท้าหายแน่ๆ มาถึงนี่ยังเจอ คือ ที่นี่เวลาจะเข้าไปข้างใน จะต้องทำการถอดรองเท้าเสียก่อน  ถอดแล้วก็วางไว้บนชั้น  ทีนี้ก็เหมือนเมืองไทยบ้านเรา คือ กลับออกมาแล้วก็มาหาร้องเท้า  แต่ไม่เจอ พวกก็เลยเดินวนหาอีกหลายรอบ ก็ไม่เจออีก  ก็เลยเดินไปบอกเจ้าหน้าที่ว่า รองเท้าหาย จนท บอกให้หาอีกรอบ  เอ้า ก็หาหลายรอบแล้ว เค้าก็ยืนยันว่า หาอีกรอบเหอะ  ก็ตามใจ เดินหากันอีกรอบ ไม่เจอ กลับมาบอกฮีว่าไม่เจอจริงจริ๊งงง สุดท้ายเค้าก็ไปติดต่อให้  ได้รองเท้าสำรองมา เป็นรองเท้าเข้าห้องน้ำ แต่ 2 ข้างไม่เหมือนกันนะฮับ

อันนี้คือรองเท้าที่ใส่ไป (Before)

ส่วนนีเป็นรองเท้าที่เราได้สำรองมา (After) น้องบอกว่าเป็นรองเท้าเข้าห้องน้ำ ที่สำคัญคือ มันคนละข้าง!!! ถือซะว่าเป็นซูวีเนียร์จากที่นี่นะจ๊ะ

ที่เห็นยืนหันหลังสวมเสื้อขาว กางเกงดำ ก็คือคุณลุงเจ้าหน้าที่ ที่ทำการติดต่อช่วยเรื่องรองเท้าหาย ส่วนพวก ไม่มีอะไรทำก็ถ่ายรูปกันต่อ

ออกมาจากที่นี่ เราตรงไป Yasmall เป็นห้างที่เราเข้าไปหาของกินกัน วันนี้ก็แวะซุปเปอร์มาเกตเช่นเคยเพื่อหาของไว้กินตอนเย็นและเช้าของอีกวัน

ตื่นกันแต่เช้า วันนี้เราจะไปยัง Etihad Tower ดูวิว ดื่มชา ที่ Observation desk ที่นี่เราหาทางเข้าไปยังตึก Etihad Tower กันยากพอสมควร แต่ในที่สุดก็เจอละ ทางเข้าที่จอดรถ จะมีไม้กั้น ซึ่งเราจะต้องรับบัตรจากพนักงานก่อนที่จะถึงไม้กั้นนั้น แล้วพอถึงที่กั้น ก็จะต้องเอาบัตรไปแตะ ทีนี้ด้วยความที่เราเป็นคนไทยตัวเล็กๆ คนขับก็ไม่สามารที่จะยื่นแขนออกไปแตะบัตรกะเครื่องได้ ซึ่งเราเจอหลายที่ละ คราวนี้เราจะไม่พลาดอีก เราได้มอบหมายให้ซัน นั่งอยู่หลังคนขับ เป็นคนเปิดกระจก และเอาตัวลอดออกไป ซึ่งจะใช้ช่วงอยู่ประมาณครึ่งตัว ปานประหนึ่งว่าจะต้องกระโจนออกจากรถทีเดียว เพื่อไปแตะบัตรจอดรถกะเครื่องที่ว่า  แต่เราลืมไปว่า มีรถข้างหลังตามมา แอบมองกลับไป เห็นพวกลุงฝรั่งเค้าหัวเราะพวกเรากันใหญ่ ข้างบนมีกาแฟ ชา ขนมหวาน และวิวดีๆ

ต่อด้วย Emirates Palace น้องบอกว่าเป็นพระราชวังเก่า แต่ตอนนี้ทำเป็นโรงแรมไปแล้ว ถึงแล้ว นี่ไง

ด้านในเป็นล็อบบี้โรงแรม ตกแต่งหรูหราอลังการมาก ไฟใช้สีทอง ทุกอย่างสีทองๆ ไปหมด

เดินเข้าไปด้านใน ลงไปด้านล่างก็จะมีวิวสวยๆ ให้ดู เดินเล่น

กลับมาด้านบน ฟังเพลงบรรเลงเปียโนเพราะๆ


เรามาที่นี่เพื่อไปชื่นชมบรรยากาศและกินกาแฟใส่ทอง  ราคาไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ พวกเราจึงกินกันพอเป็นไอเดีย  ส่วนภาพนี้เป็นกาแฟที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้านอาหารในนี้ ต้องลองมากินดู ว่าแล้วก็สั่งไอติมโปะทองมากินด้วย

เวลากินก็ต้องค่อยๆ จิบ ทำหน้าฟินประมาณนี้ กินเสร็จแล้วจะต้องมีทองติดที่ปาก เหมือนติดทองคำเปลวยังไงยังงั้นเลย

มื้อนี้กินเป็นไอเดีย หมดไปทั้งหมด 180 AED กระเป๋าแห้งเลย จากนั้นก็ออกมาถ่ายรูปด้านหน้า แดดแรงตามฟอร์ม

จากนั้นก็ไปทะเลทราย ซึ่งโปรแกรมทะเลทรายนี่เราซื้อ local ทัวร์ โดยเขาเอารถจะมารับที่โรงแรมประมาณบ่าย 3 ถึงบ่าย 3 ครึ่ง ราคาคนละ 250 AED โดยมีโปรแกรมชื่อว่า Hala’s Desert Sunset Drive & BBQ  ซึ่งเป็น Half Day Desert Safari คือพอเขามารับก็ขึ้นรถเขาไป ก่อนไปเขาก็จะบรรยายโปรแกรมเป็นภาษาอังกฤษแบบฟังยากมาก ก็นั่งรถกันไปประมาณ 45 นาที ก็ถึงทะเลทราย ทะเลทรายจริงๆ ด้วย

Gentle off-rode drive เขาบอกว่าเป็น Soft drive คือขับรถในทะเลทราย โดยการปล่อยลมยางออกก่อนนั่นเอง  โอ้โห Soft มาก คนที่นั่งท้ายๆ รถ ถึงกับขอถุงอ้วกกันเลยทีเดียว และก็อ้วกจริงซะด้วย คือจะเป็นการขับรถเหมือนขับผาดโผน ล้อไปตามยอดของทรายแต่ละลูก อย่าลืมคาดเข็มขัดนิรภัยให้ดีนะ ภาพนี้เป็นรถคันหลัง ที่พานักท่องเที่ยวขับตามกันมา

ส่วนนี่เป็นมุมมองของเรา ที่มองผ่านกระจกหน้ารถไป เห็นแต่ทราย

เขาขับไปสักพักก็จะไปจอด ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป

พวกเราก็ไม่รอช้า แดดแรงขนาดไหนก็ไม่กลัว

สักพักเขาก็เรียกขึ้นรถ เพื่อไปต่อที่ Camel farm ที่นี่เขาจะเป็นฟาร์มอูฐ ก็ไปให้อาหาร ถ่ายรูปกับอูฐ คือมันก็จะมีกลิ่นหน่อยๆ


Sunset in the dunes และ Arabic themed desert camp เป็นอีกสิ่งที่ประทับใจมาก บรรยากาศยามพระอาทิตย์ตกดินกลางทะเลทราย มีสไลเดอร์ให้เล่น และมีแคมป์แบบนี้เลย

Camel riding, Henna painting, Shisha ก็เป็นกิจกรรมที่มีในแคมป์ 

เค้ามี Barbecue dinner ให้ด้วย แต่อาหารไม่ค่อยถนัดสักเท่าไหร่ บางอย่างก็กินไม่ได้ มีผลไม้ด้วย เค้าจะประกาศว่า อาหารพร้อมแล้ว เราก็ไปต่อแถวตักอาหารกับนักท่องเที่ยวที่มาแคมป์ด้วยกัน

Belly dancing เป็นโชว์ระบำหน้าท้อง สนุกมาก บอกเลย และหลังจากที่เขาโชว์ระบำหน้าท้องเสร็จแล้ว เขาก็จะชักชวนแขกเข้าไปร่วมเต้นรำ พวกเราก็เลยจำใจเข้าร่วมกิจกรรม (จำใจมาก) คือไม่มีใครรู้จักเราที่นี่ ก็เต้นกันเต็มที่ซะงั้น

สิ่งเดียวที่ไม่ได้ลองก็คือ Shisha นั่นก็คือ บารากุ บ้านเรานั่นเอง  มีเรื่องเล่าที่นี่ คือขณะที่นั่งกินอาหารกันที่แคมป์ ก็คุยกันว่า ที่นี่ถึงจะอยู่ไกลก็ไฮเทคเหมือนกันนะ  เราก็ถามว่า ไฮเทคยังไง น้องบอกว่า เนี่ย ไฟในห้องน้ำนะ เป็นไฟเซนเซอร์ด้วยนะ ห้ะ ไฟเซนเซอร์คือไร ก็ถามกลับไป น้องก็เล่าว่า คือพอเราเดินเข้าไปถึงห้องน้ำมันเปิดเองเลย  เราก็มานึกไปนึกว่าก็ขำออกมาดังๆ  แล้วก็เฉลยว่า ไฟเซนเซอร์ที่ว่านั่นน่ะ เป็นข้าพเจ้าเอง  คือห้องน้ำหญิงกับห้องน้ำชายก็อยู่ติดกันงี้ แต่ทีนี้สวิตซ์ไฟ ดันอยู่ทางห้องน้ำหญิง ทีนี้ พอ 2 คนเดินเข้าห้องน้ำชาย เราก็เดินตามมาเข้าห้องน้ำหญิง พอเปิดไฟ มันก็ติดทั้ง 2 ห้อง อันนี้ตอนแรกยังไม่รู้  พอเราจะออกจากห้องน้ำหญิงก็เลยปิดสวิตซ์ไป พอปิดเท่านั้น ก็มีเสียงโวยวาย เฮ้ยยย ก็เลยลองเปิดใหม่  แล้วก็ปิดอีกที ทีนี้เสียงมา เฮ้ยยยย ก็เลยเข้าใจว่า อ้อ  ไฟรวม  แล้วก็กลับมานั้งกินอาหารปกติ จนมีการพูดถึงความไฮเทคของห้องน้ำว่า มีไฟเซนเซอร์  ก็เลยขำจนพอใจก่อนแล้วค่อยเฉลย 555

กลับถึงโรงแรมโดยสวัสดิภาพ  อีกวันก็รีบตื่นกันแต่เช้าเพื่อไปยังสนามบิน เพราะเรากลับกัน flight เช้า 8.00 จากสนามบิน Abu Dhabi ถึงกรุงเทพเวลา 18.00 น. จากกรุงเทพ ก็ต่อเครื่องกลับเชียงใหม่ ถึงเชียงใหม่ก็เวลา 22.55 และกลับลำปางบ้านเฮากันต่อ  ยมแบบสุดๆ เลยทีเดียวเชียว

ก่อนจบขอให้เครดิตทริปนี้กับเจ้าลูกชายและมิน ที่ทำการบ้านอย่างเต็มที่ ขอบคุณจุงและฟิวส์ที่สร้างสีสัน และขอบคุณตัวเองที่พาตัวเองไปร่วมทริปได้

คำสำคัญ (Tags): #ดูไบ#dubai#Abu Dhabi
หมายเลขบันทึก: 643475เขียนเมื่อ 20 ธันวาคม 2017 11:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 ธันวาคม 2017 21:22 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท