ปกติฉันเป็นคนแข็งแรง ไม่เคยเจ็บป่วยอะไรนัก แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ฉันรู้สึกมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกายฉัน เมื่อใช้มือคลำที่บริเวณท้อง ได้เจอก้อนแข็งๆ ฉันรู้สึกกังวลเล็กน้อย ในใจก็คิดว่าไม่เป็นไรหรอก คงเป็นเพราะอ้วน ลงพุง ไขมันเยอะ เมื่อสังเกตุประจำเดือน ปรากฎว่ามีเลือดประจำเดือนออกมาค่อนข้างเยอะ เป็นลิ่มเลือดน่าตกใจ แต่ไม่มีอาการปวดท้อง และฉันก็ยังวางใจว่าไม่เป็นไรต่อไป ประกอบกับหลายคนบอกฉันว่าไม่เป็นไรหรอกสงสัยประจำเดือนใกล้จะหมด ด้วยวัย 47 ปี ซึ่งมากพอสมควรนั้น ผนังมดลูกจะหนาขึ้น เมื่อมีประจำเดือนผนังมดลูกจะหลุดลอกออกมาเป็นลิ่มเลือด ก็เลยมีอาการแบบนี้
วันหนึ่งฉันมีโอกาสคุยกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งถึงอาการเจ็บป่วยของเขาที่ต้องไปผ่าตัดก้อนเนื้อมดลูกที่โรงพยาบาลศิริราช เขาเล่าอาการให้ฟังอย่างละเอียด ซึ่งมันเป็นอาการเดียวกับที่ฉันกำลังเป็นอยู่เลย ฉันเริ่มรู้สึกกังวลอีกแล้ว หลังจากนั้นได้พูดคุยกับเพื่อนอีกหลาย ๆ คน บางคนก็เป็นมานานแล้ว ผ่าตัดเนื้องอกมดลูกออกไปเรียบร้อยแล้ว บางคนตัดรังไข่ไปก็มี แล้วแต่อาการของแต่ละคน ความกลัวเกิดขึ้นกับฉันอย่างช่วยไม่ได้ ฉันตัดสินใจให้เพื่อนที่เคยเป็นเนื้องอกมดลูกแบบเดียวกับฉันคลำก้อนในท้อง เธอคลำเจอเช่นเดียวกับฉัน และอาสาพาฉันไปพบคุณหมอที่คลินิกสูตินรีเวช เพื่อยืนยันอีกครั้งว้ามีเนื้องอกในมดลูกจริง ๆ ทันที เมื่อพบคุณหมอ ก็ได้ถามอาการเล็กน้อย และใช้มือมาคลำหน้าท้องฉัน หมอบอกว่าฉันเป็นเนื้องอกมดลูก ขนาดโตพอประมาณ เพราะคลำเจอแล้ว และแนะนำให้ไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลทันที
ฉันไปโรงพยาบาลประจำจังหวัด แผนกสูตินรีเวช ในเวลาต่อมา วันนั้น คนไข้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับเนื้องอกมดลูกเยอะมาก ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของผู้หญิง และคนไข้เยอะก็เป็นเรื่องปกติของระบบบริหารจัดการด้านการบริการสาธารณสุขในต่างจังหวัด ฉันไม่ได้พบคุณหมอ ได้พบแต่ผู้ช่วยคนหมอนางหนึ่ง ซึ่งได้พูดสอบถามอาการของฉันและบอกฉันว่า อาการดังกล่าวน่าจะเป็นเนื้องอกมดลูก. ซึ่งต้องให้คุณหมอตรวจ. แต่วันนี้จะไม่ได้พบคุณหมอเพราะคุณหมอคิวยาววว... มากกกก.... หากอยากพบคุณหมอเพื่อตรวจว่าเป็นเนื้องอกมดลูกหรือไม่จะต้องนัดตรวจอีกประมาณ 1 เดือน ซึ่งนานมากเหลือเกินที่จะรอสำหรับฉันในขณะนี้
ฉันรอคุณหมอท่านนี้ ไม่ไหวแล้วล่ะ เพราะฉันรู้ว่าฉันเป็นเนื้องอกมดลูกแน่นอนแล้ว เพิ่งจะรู้สึกกลัวตายขึ้นมาในทันใด ฉันได้ติดต่อเพื่อนที่ทำงานอยู่กรุงเทพมหานคร ว่าฉันจะไปหาหมอแล้วนะ เธอก็ใจดีเหลือเกินติดต่อคุณหมอสูตินรีแพทย์ที่รู้จักให้ท่านหนึ่งและมีประสบการณ์ในการผ่าตัดเนื้องอกมดลูกมาอย่างโชกโชน และแนะนำให้ฉันเดินทางไปทำการตัดเจ้าก้อนเนื้อในมดลูกของฉันที่กรุงเทพฯ ทันที
ได้พบหมอวันที่ 4 เมษายน 2560 คุณหมอได้ทำอัลตร้าซาวด์หน้าท้อง ซึ่งก็ตรวจเจอก้อนเนื้อในมดลูก ความยาว ประมาณ 10 เซนติเมตร คุณหมออธิบายถึงแนวทางการรักษาว่า คนไข้ที่มีบุตรแล้ว และอายุใกล้ถึงวัยหมดประจำเดือนแล้ว หากจะใช้วิธีการรักษาแบบผ่าตัดเฉพาะก้อนเนื้อในมดลูกออกไปก็สามารถทำได้ แต่คนไข้อาจมีโอกาสกลับมาเป็นเนื้องอกในมดลูกได้อีก หรือเป็นบริเวณใกล้เคียงได้เช่นกัน เช่น. รังไข่ ปีกมดลูก ปากมดลูก และหากจะตัดมดลูก และรังไข่ เพื่อเอาก้อนเนื้อออกไปด้วยพร้อมกันนั้น ก็สามารถทำได้ แต่มีผลข้างเคียงคือ จะต้องเข้าสู่ภาวะที่ไม่มีรังไข่ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ และจะเข้าสู่วัยทองโดยปริยาย ซึ่งคุณหมอก็อธิบายเสียยาวเหยียดที่เดียว ก่อนที่จะให้ฉันไปตรวจร่างกาย อื่น ๆ อีก ได้แก่ ตรวจคลื่นหัวใจไฟฟ้า เอกซเรย์ปอด และตรวจเลือดเพื่อดูความเข้มข้นของเลือดว่าปกติดีมั้ย มีภาวะเสื่ยงอะไรบ้าง ดูการทำงานของไต และดูระดับน้ำตาลในเลือด เป็นต้น เพื่อเตรียมพร้อมในการรักษาต่อไป
นัดผ่าตัดก้อนเนื้อมดลูกในวันที่ 29 พฤษภาคม 2560 ที่รอนานเพราะคุณหมอต้องไปต่างประเทศช่วงกลางเดือนเมษายน หากจะนัดผ่าตัด ต้นเดือนพฤษภาคม ก็ต้องดูว่าไม่ตรงกับวันที่มีประจำเดือน เพราะหากผ่าตัดตอนมีประจำเดือนร่างกายจะเสียเลือดมาก เลยต้องเป็นวันที่ 29 พฤษภาคม 2560 ซึ่งฉันต้องไปนอนรอที่โรงพยาบาลก่อนเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนผ่าตัดเอาก้อนเนื้อในมดลูกออกไปในวันที่ 28 พฤษภาคม 2560 แต่เมื่อฉันตรวจเลือดหาคว่มเข้มข้นของเลือด ผลปรากฎออกมาว่าฉันซีด เลือดจางมาก จึงต้องนอนให้เลือดก่อนผ่าตัดในวันรุ่งขึ้นอีก 2 ถุง เนื่องจากร่างกายต้องแบ่งเลือดเพื่อไปเลี้ยงก้อนเนื้อที่อยู่ในมดลูกเรานั่นเอง เลือดจึงสูบซีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายส่วนอื่น ๆ ไม่เพียงพอ จึงเกิดภาวะซีด ในใจตอนนั้น กังวลเรื่องการผ่าตัดมดลูกเล็กน้อย เพราะเป็นคนที่ไม่เคยผ่าตัดใหญ่ขนาดนี้มาก่อน กลัวการเจ็บ กลัวห้องผ่าตัด กลัวต่าง ๆ นานา มีแต่ลูกชายที่อยู่ใกล้แม่เพียง 1 คน เท่านั้น ส่วนคุณพ่อติดงานที่ต้องสะสางให้เสร็จก่อน แล้วจะตามมาที่โรงพยาบาลในภายหลังวันผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว แต่ฉันเชื่อว่าลูกเราโตพอที่จะรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ ในเวลาต่อมาพยาบาลประจำตึกเข้ามาทำความเข้าใจและอธิบายให้ฉันทราบว่า การปฏิบัติตัวทั้งก่อนผ่าตัดและหลังผ่าตัดก้อนเนื้อมดลูกควรทำอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งให้อ่านแผ่นพับและให้ฝึกปฏิบัติ ฝึกหายใจเข้าออก เพื่อผ่อนคลายความเจ็บปวดจากแผลผ่าตัด การปฏิบัติไม่ให้เกิดอาการท้องอืดหลังผ่าตัด โดยการขยับร่างกายและพลิกตัวบนเตียง ตอนบ่ายวันเดียวกันพยาบาลวิสัญญีได้เข้ามาพบฉันและพูดคุยกันเรื่องการทำให้หลับขณะผ่าตัดก้อนเยื้อมดลูก ซึ่งมี 2 วิธี คือ การบล็อคหลัง และการดมยาสลบ และอธิบายถึงข้อดีและข้อเสียของทั้ง 2 วิธี ว่า....กรณีบล็อคหลัง (ฉีดยาระงับความรู้สึกทางช่องน้ำไขสันหลัง ) จะปวดแผลน้อยกว่าหลังผ่าตัด เนื่องจากระบบประสาทถูกสกัดจากยาชาก่อนที่จะเกิดบาดแผล ทำให้ความปวดหลังผ่าตัดจะน้อยกว่าการวางยาสลบ ผิดกับการวางยาสลบ เพราะยาสลบจะไปกดสมองไม่ให้รับรู้ความเจ็บปวด แต่ระบบประสาทไขสันหลังและระบบประสาททั่วร่างกายยังทำงานอยู่ เมื่อหมดฤทธิ์ยาสลบ ก็จะปวดมาก จึงแนะนำฉันว่าน่าจะบล็อกหลังดีกว่า ซึ่งฉันก็เคยบล็อกหลังลักษณะนี้มาแล้ว 2 ครั้ง ตอนคลอดลูกทั้ง 2 คน แต่อย่างไรก็ตาม คุณพยาบาลวิสัญญีก็บอกฉันอีกครั้งว่าคุณหมอท่านที่ผ่าตัดเนื้องอกมดลูกให้ฉันนั้น เลือกที่จะวางยาสลบให้คนไข้มากกว่าการบล็อกหลัง แต่เธอจะบอกคุณหมอให้อีกครั้งในห้องผ่าตัดว่าฉันเลือกวิธีบล็อกหลัง.......
สวัสดีค่ะ.
คุณเพชรน้ำหนึ่ง...
ตอนนี้พึ่งหัดเขียนบันทึกค่ะ เหมือนเด็กหัดเดินค่ะ ตอนนี้แข็งแรงดีแล้วค่ะ แต่เริ่มมีอาการของคนทีี่เข้าสู่วััััััััยทองค่ะ มั่งคั่งขึ้นเยอะ
ขอบคุณมากค่ะที่ให้กำลังใจ
น่ากลัวเหมือนกันนะพี่ พยายามตรวจสุขภาพทุกปีค่ะ
เป็นกำลังใจให้ครับ
ขอบคุณมากค่ะ
เพิ่งตรวจเจอเมื่อวาน ... ขนาด 1.3-3 cm ก็ตัดสินใจแระ ... เข้ากรุงดีกว่า....ได้อ่านของเพื่อนแล้ว ไม่ควรรีรอ