ย้อนกลับไปยังวันที่ 13 ตุลาคม 2560 –
วันดังกล่าวเป็นวันที่กลุ่มนิสิตชาวดิน (พรรคชาวดิน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) จะจัดกิจกรรมจุดเทียนรำลึกในหลวงรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันครบรอบปีการเสด็จสวรรคตของพระองค์ท่าน
เดิมเจ้าหน้าที่นัดหมายจะลงพื้นที่เตรียมงาน หรือตรวจเช็คความพร้อมในเวลา 15.00 น.
แต่ด้วยมุมคิด หรือลางสังหรณ์บางอย่างของผมเอง จึงอดที่จะถามทักกับนิสิตเป็นการภายในไม่ได้ เพื่อให้รู้ถึงความคืบหน้าของกิจกรรม ตลอดจนปัญหาอุปสรรคที่นิสิตกำลังเผชิญหน้า ...
ก็ด้วยคำว่า “พูดให้ฟัง ทำให้ดู อยู่เป็นเพื่อน” นั่นแหละที่ทำให้ผมต้องตัดสินใจลงพื้นที่ไปเยี่ยมยามถามข่าวนิสิตด้วยตนเองอย่างไม่เป็นทางการ
เวลาในราวไม่เกิน 12.00 น. ผมลงไป “ดูงาน” นิสิตด้วยตนเอง โดยกิจกรรมหลักๆ ก็คือ การตระเตรียม “หั่นท่อนกล้วย” (ต้นกล้วย) เพื่อใช้เป็น “รางเทียน” เพื่อ “ปักเทียน” หรือจุดเทียนแปรอักษรภาพในคำว่า “มมส 9 ทำดีตามพ่อ”
เป็นที่น่าสังเกตว่านิสิตส่วนใหญ่ที่มานั่งหั่นลำต้นกล้วยนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็น “ผู้หญิง”
ระยะแรกๆ ทุกคนดูตื่นตัวคึกคักเป็นพิเศษ พอผ่านไปสักระยะเริ่มออกอาการบ่นแบบน่ารักๆ เพราะเริ่มเจ็บมือเจ็บนิ้ว หลายคนออกอาการ “พอง” หรือ “ได้แผล” อย่างเห็นได้ชัด
ก็ไม่มีอะไรมาก สาเหตุก็มาจากความไม่เคยชินกับการงานเช่นนี้ ประกอบกับอุปกรณ์ที่ใช้หั่นนั้นมันไม่เหมาะสมเอาเสียเลย เป็นแค่เลื่อยเล็กๆ หรือไม่ก็มีดเล็กๆ ไม่สมดุลกับลำต้น หรือท่อนกล้วย เหมือนนักมวยแบกน้ำหนักยังไงยังงั้นเลย... ที่สำคัญคือไม่รู้วิธีที่ถูกต้องในการหั่น หรือสับนั่นเอง
ชะตากรรมดังกล่าวทำให้ผมต้องออกอุบายในฉับพลันให้พวกเขาเพลิดเพลินและรื่นรมย์กับการงานที่ว่านั้น ยกตัวอย่างเช่น พูดคุย เล่าเรื่อง ซักถามในประเด็นที่เกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่น
โดยหลักๆ แล้ว ผมไม่ได้เฉลย หรือบอกเล่ามากนัก แต่เน้นตั้งคำถามเป็นหลัก เน้นการถามทักว่ารู้จักและคุ้นชินกับการใช้ประโยชน์จากกล้วย หรือลำต้นของกล้วยอย่างไรบ้าง ซึ่งนิสิตบางคนก็ไม่เคยเห็นกับตาว่า “ขาวเหมือนหยวกกล้วย” เป็นยังไง ... ผมจึงกระตุ้นว่า “ก็ให้รู้จากกิจกรรมนี้นั่นแหละ”
จะว่าไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะครับ – ก็แค่กระบวนการเรียนรู้เล็กๆ ร่วมกัน เพื่อผ่อนคลายความหน่วงเหนื่อยเป็นหลัก เพราะน้องๆ ต้องหั่นให้ได้ร่วมๆ จะ 5000 ชิ้นเลยทีเดียว
กระนั้นก็แอบหวังลึกๆ ว่า นิสิตจะมีแรงบันดาลใจในการกลับไปสืบค้นเรื่องคุณค่าและความหมายของกล้วย หรือต้นกล้วยเพิ่มเติมต่อไปด้วยตนเอง
แต่สำหรับผมแล้ว ผมมีความทรงจำมากมายเกี่ยวกับกล้วยหรือต้นกล้วย
เป็นความทรงจำอันหลากหลาย ทั้งใบ ก้าน ผล หัวปลี ราก ลำต้น ฯลฯ
ครับ- ไม่มีอะไรมากมายเป็นพิเศษสำหรับบันทึกนี้ แค่อยากจะบอกว่า ผมหยิบจับสถานการณ์ตรงหน้าที่พบเจอมาเป็นโจทย์การเรียนรู้เท่านั้นเอง และเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า พร้อมๆ กับการติดอาวุธทางความคิดเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่จะพึงทำได้ ---
และที่สำคัญผมไม่ได้แค่พูดคุยเท่านั้น แต่แอบอัพภาพผ่านมือถือและเชื่อมไปยังนิสิต หรือองค์กรนิสิตหลายคนหลายองค์กร เพื่อบอกนัยสำคัญว่า "ตอนนี้มีกิจกรรมดีๆ ให้มาร่วมด้วยช่วยกัน ใครว่างก็มาช่วยกัน" ฯลฯ
ซึ่งก็น่ารักมาก เพราะมีนิสิตสี่ห้าคนเริ่มทยอยลงจากตึกมาช่วยเพื่อนๆ
บางคนถึงกลับพูดติดตลกประมาณว่า "พี่แท็กไปทั้งที-ไม่มาก็กระไร จะอยู่เฉยๆ เป็นทองไม่รู้ร้อย ก็รู้สึกผิด" 55555
แต่สำหรับผมแล้ว แม้คราวนี้จะไม่ครบองค์วาทกรรม (พูดให้ฟัง ทำให้ดู อยู่เป็นเพื่อน) เพราะได้แค่ "พูดให้ฟัง - อยู่เป็นเพื่อน" ก็เถอะ แต่ก็ยืนยันว่า มีความสุขมาก -
หากนิสิตหยิบเอาประเด็นไปเรียนแบบใฝ่รู้แบบนี้ คงจะดีไม่น้อยเทียว... ครับ
การเรียนรู้ จากการปฏิบัติ คือครูที่แท้จริงครับ
-สวัสดีครับ
-คือความสุขที่ก่อเกิดขึ้นนะครับครู
-ขอบคุณไอเดียดีๆ จากบันทึกนี้ด้วยนะครับ
-ชอบใจ...ภาพนี้ครับ..
-คืนวันเพ็ญ เดือน 12 คงจะได้มีโอกาสนำไปทำที่บ้านไร่ครับ
สวัสดีครับ อ.ต๋อย
ผมก็ได้แต่หวังใจละครับว่าพวกเขาจะสามารถถอดรหัสความรู้จากสิ่งรอบตัวนี้ได้ด้วยตนเอง เสมอเหมือนการเชื่อในวาทกรรมที่ผมเปรยและบ่นเสมอมาว่า "ไม่มีที่ใดปราศจากความรู้และการเรียนรู้...เว้นแต่ไม่เปิดใจที่จะเรียนรู้"
สวัสดีครับ อ.เป๊าะ
เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ หรือลงมือทำ เพราะทำให้ได้ลงแรงกายและใจอย่างแท้จริง ก่อเกิดเป็นพลังปัญญา หรือปัญญาปฏิบัติ นั่นเองใช่ไหมครับ
สวัสดีครับ
ต้นกล้วยจากงานนี้ก็จะถูกส่งต่อสู่งานลอยกระทงของนิสิตไปในตัว นี่คืออีกพืชพันธุ์แห่งภูมิปัญญาไทยขนานแท้เลยครับ