33. ทุกสิ่งเกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง


33. ทุกสิ่งเกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง


ถาม  ท่านผู้รู้ jnani ตายหรือไม่?

ตอบ  ท่านอยู่เหนือชีวิตและความตาย

สิ่งที่เราเชื่อว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ – การเกิดและการตาย – สำหรับท่านแล้วเป็นเพียงวิธีแสดงออกถึงความเคลื่อนในสิ่งที่ไม่เคลื่อน เป็นการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ไร้การเปลี่ยนแปลง เป็นการสิ้นสุดในสิ่งไร้การสิ้นสุด

สำหรับท่านผู้รู้ มันชัดเจนว่าไม่มีอะไรเกิดและไม่มีอะไรตาย ไม่มีอะไรคงอยู่และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างเป็นอย่างที่มันเป็น – อย่างไร้กาลเวลา

 

ถาม  ท่านบอกว่า ท่านผู้รู้อยู่เหนือ เหนืออะไร?

เหนือความรู้หรือ?

ตอบ  ความรู้เกิดขึ้นและดับไป

ความรู้ตัวเกิดขึ้นและดับไป

มันเป็นแค่การเกิดขึ้นและการสังเกตในแต่ละวัน

เราทุกคนรู้ว่าบางครั้งเราก็รู้ตัว บางครั้งก็ไม่รู้ตัว

เมื่อเราไม่รู้ตัว มันจะเป็นเหมือนความมืดหรือความว่างเปล่า

แต่ท่านผู้รู้ตระหนักว่าตนไม่เป็นทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว แต่เป็นความตระหนักที่บริสุทธิ์ เป็นผู้เฝ้าดูเฝ้ารู้สภาวะสามแบบของใจและเนื้อหาของใจ

 

ถาม  การเฝ้าดูเฝ้ารู้นี้เริ่มขึ้นเมื่อไหร่?

ตอบ  สำหรับท่านผู้รู้ ไม่มีอะไรที่มีการเริ่มต้นและสิ้นสุด

เหมือนเกลือละลายน้ำ ทุกสิ่งละลายลงในความมีอยู่เป็นอยู่ที่บริสุทธิ์

ปัญญาจะปฏิเสธสิ่งไม่จริงอย่างไม่สิ้นสุด

การเห็นสิ่งไม่จริงคือปัญญา

เหนือปัญญาคือสิ่งที่ไม่สามารถบรรยายได้

 

ถาม  ในตัวผม มีความเชื่อมั่นที่ว่า “ฉันคือร่างกาย”

ผมยอมรับว่าผมพูดจากความไม่มีปัญญา

แต่สภาวะที่เรารู้สึกว่าตัวเองคือร่างกาย ตัวเองคือกาย-ใจ ตัวเองคือใจ-กาย หรือแม้แต่ตัวเองคือใจที่บริสุทธิ์ – มันเริ่มขึ้นตอนไหน?

ตอบ  เธอไม่สามารถพูดถึงการเริ่มต้นของความรู้ตัว

แนวคิดของการเริ่มต้นและเวลาจะอยู่ภายในความรู้ตัว

ในการพูดถึงการเริ่มต้นของสิ่งใดๆอย่างมีความหมาย เธอต้องก้าวออกจากมันก่อน

และทันทีที่เธอก้าวออกมา เธอตระหนักว่ามันไม่มีสิ่งนั้น และไม่เคยมีอยู่

มันมีแค่ความเป็นจริง ซึ่งภายในความเป็นจริงนี้ ไม่มี “สิ่งใด” ที่มีอยู่เป็นอยู่ด้วยตัวของมันเอง

เหมือนคลื่นไม่สามารถแยกออกจากมหาสมุทร การดำรงอยู่ก็มีรากฐานภายในการมีอยู่เป็นอยู่

 

ถาม  ข้อเท็จจริงก็คือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ผมกำลังถามท่าน – ความรู้สึกว่า “ฉันคือร่างกาย” เกิดขึ้นเมื่อไหร่?

เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่ผมเกิด หรือเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้านี้?

ตอบ  เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้

 

ถาม  แต่ผมจำได้ว่าเมื่อวานผมก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน

ตอบ  ความทรงจำของเมื่อวานคือ เดี๋ยวนี้ เท่านั้น

 

ถาม  แต่แน่นอนว่าผมมีอยู่ในกาลเวลา ผมมีอดีตและอนาคต

ตอบ  นั่นคือวิธีที่เธอจินตนาการ – เดี๋ยวนี้

 

ถาม  มันน่าจะต้องมีการเริ่มต้นสิ

ตอบ  เดี๋ยวนี้

 

ถาม  แล้วการสิ้นสุดล่ะ?

ตอบ  สิ่งซึ่งไม่มีการเริ่มต้นไม่สามารถสิ้นสุด

 

ถาม  แต่ผมมีความรู้ตัวถึงคำถามของผม

ตอบ  เราไม่สามารถให้คำตอบแก่คำถามที่ไม่จริงได้

แค่เห็นได้ว่ามันไม่จริง

 

ถาม  สำหรับผมมันจริง

ตอบ  เมื่อไหร่ที่เธอรู้สึกว่ามันจริง? – เดี๋ยวนี้

 

ถาม  ใช่ครับ มันจริงสำหรับผม – เดี๋ยวนี้

ตอบ  มีอะไรจริงเกี่ยวกับคำถามของเธอ?

มันเป็นแค่สภาวะของใจ

ไม่มีสภาวะใดของใจที่จะเป็นจริงมากกว่าตัวใจเอง

แล้วใจมีอยู่จริงหรือเปล่า?

มันเป็นแค่กลุ่มของสภาวะ แต่ละสภาวะมีอยู่ชั่วคราว

กลุ่มของสิ่งชั่วคราวที่เกิดดับสืบเนื่องต่อกันไปจะเป็นจริงได้อย่างไร?

 

ถาม  เหมือนลูกปัดที่ร้อยเป็นเส้นสาย เหตุการณ์เกิดดับสืบเนื่องกันไป – ไม่สิ้นสุด

ตอบ  สิ่งที่เรียงร้อยมันเข้าด้วยกันคือความคิดพื้นฐานว่า “ฉันคือร่างกาย”

แม้สิ่งนี้ก็เป็นแค่สภาวะหนึ่งของใจ และไม่อยู่ถาวร

มันมาแล้วก็ไปเหมือนสภาวะอื่นๆ

มายาของการเป็น กาย-ใจ อยู่ที่นั่น เพียงเพราะมันยังไม่โดนตรวจสอบ

การไม่ตรวจสอบคือเส้นเชือกที่ร้อยสภาวะของใจไว้ด้วยกัน

มันเป็นเหมือนความมืดในห้องที่ปิดสนิท

มันอยู่ที่นั่น – อย่างเห็นได้ชัด

แต่เมื่อเปิดห้อง ความมืดหายไปไหน?

มันไม่ได้ไปไหน เพราะมันไม่ได้อยู่ที่นั่น

ทุกสภาวะของใจ ทุกชื่อและรูปแบบของการดำรงอยู่ หยั่งรากอยู่ในความงมงายที่ไม่ได้รับการสอบสวน ไม่ได้รับการตรวจสอบ

เป็นการถูต้องที่จะพูดว่า “ฉันเป็น” แต่การพูดว่า “ฉันเป็นนี้” “ฉันเป็นนั้น” คือสัญญาณของการไม่ได้สอบสวน ไม่ได้ตรวจสอบ ของความอ่อนแอทางใจ หรือถีนมิทธะ (ความเกียจคร้านเฉื่อยชา)

 

ถาม  ถ้าทุกสิ่งคือแสงสว่าง แล้วความมืดเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ความมืดมีอยู่ท่ามกลางความสว่างได้อย่างไร?

ตอบ  มันไม่มีความมืดท่ามกลางความสว่าง

การลืมว่าตัวเองที่แท้คืออะไร นั่นคือความมืด

เมื่อเรามัวแต่สนใจสิ่งอื่น สิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา เราลืมตัวตนที่แท้ของเรา

ไม่มีอะไรผิดธรรมชาติเกี่ยวกับเรื่องนี้

แต่ทำไมเราจึงลืมตัวตนที่แท้ผ่านทางการยึดติดที่มากเกินควรด้วยเล่า?

ปัญญาอยู่ที่การไม่เคยหลงลืมตัวตนที่แท้ว่าเป็นแหล่งกำเนิดตลอดกาลของผู้มีประสบการณ์และตัวประสบการณ์เอง

 

ถาม  ในสภาวะปัจจุบันของผม ความคิดว่า “ฉันคือร่างกาย” เกิดขึ้นเองตลอดเวลา ในขณะที่ความคิดว่า “ฉันคือการมีอยู่เป็นอยู่ที่บริสุทธิ์” เป็นสิ่งที่ผมต้องบังคับให้ใจเชื่อ โดยไม่มีประสบการณ์จริง

ตอบ  ใช่ การฝึกปฏิบัติ (sadhana) ประกอบด้วยการบังคับตนให้บอกเตือนตัวเองถึงสภาวะ “การมีอยู่เป็นอยู่ที่บริสุทธิ์” ของตน บอกเตือนตัวเองว่า ตนไม่ได้เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเฉพาะเจาะจง ไม่ได้เป็นการรวมของสิ่งจำเพาะเจาะจง ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งจำนวนทั้งสิ้นของสิ่งจำเพาะเจาะจงทั้งหลาย ซึ่งประกอบกันเป็นจักรวาล

ทุกอย่างล้วนมีอยู่ในใจ แม้แต่ร่างกายก็เป็นการบูรณาการที่ใจสร้างขึ้นผ่านการรับรู้ทางประสาทสัมผัสจำนวนมากมาย แต่ละการรับรู้ก็เป็นแค่สภาวะของใจ

ถ้าเธอพูดว่า “ฉันคือร่างกาย” แสดงให้ฉันดูซิ

 

ถาม  มันอยู่นี่ไงครับ

ตอบ  ก็มีอยู่แค่เวลาเธอคิดถึงมัน

ทั้งกายและใจเป็นสภาวะที่ไม่ต่อเนื่อง

ผลรวมทั้งหมดของการกะพริบเหล่านี้ทำให้เกิดมายาภาพของการดำรงอยู่

จงสืบค้นดูว่ามีอะไรถาวรในสิ่งชั่วคราว มีอะไรจริงในสิ่งไม่จริง

นี่คือการฝึกปฏิบัติ (sadhana)

 

ถาม  ข้อเท็จจริงก็คือ ผมกำลังคิดว่าตัวเองคือร่างกายนี้

ตอบ  เธอจะคิดเกี่ยวกับตัวเธอว่ายังไงก็ได้

เพียงแต่อย่าเอาแนวคิดเรื่องร่างกายเข้ามาเกี่ยวข้อง

มันมีเพียงแค่กระแสของประสาทสัมผัส การรับรู้ ความทรงจำ และแนวคิด

ร่างกายคือสิ่งที่เป็นนามธรรม สร้างขึ้นโดยแนวโน้มของเราที่จะแสวงหาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวในความหลากหลาย – ซึ่งก็ไม่ผิดอีกนั่นแหละ

 

ถาม  มีคนบอกผมว่า การคิดว่า “ฉันคือร่างกาย” คือมลทินในใจ

ตอบ  ทำไมจึงพูดเช่นนั้น?

การพูดแบบนั้นทำให้เกิดปัญหา

ตัวตนแท้จริงคือต้นตอของทุกสิ่ง และเป็นปลายทางสุดท้ายของทุกสิ่ง

ไม่มีอะไรที่เป็นภายนอก

 

ถาม  เมื่อผู้คนถูกครอบงำด้วยแนวคิดเรื่องร่างกายจนลุ่มหลง มันน่าจะผิดไม่ใช่หรือ?

ตอบ  ไม่มีอะไรผิดในแนวคิดเรื่องร่างกาย หรือแม้แต่ในแนวคิดว่า “ฉันคือร่างกาย”

แต่การจำกัดตัวเองอยู่กับแค่ร่างกายตนคนเดียว นั่นผิด

ในความเป็นจริง การดำรงอยู่ทั้งหมด รูปแบบทั้งหมด เป็นของฉัน มีอยู่ภายในความรู้ตัวของฉัน

ฉันบอกไม่ได้ว่าฉันคืออะไร เพราะคำพูดสามารถอธิบายได้เฉพาะสิ่งที่ไม่ใช่ฉัน

“ฉันเป็น” และเพราะ “ฉันเป็น” ทุกสิ่งจึงมีอยู่

แต่ฉันอยู่เหนือความรู้ตัว ดังนั้น เมื่ออยู่ภายในความรู้ตัว ฉันจึงไม่สามารถพูดได้ว่าฉันคืออะไร

แต่ “ฉันเป็น”

คำถามว่า “ฉันคือใคร” จึงไม่มีคำตอบ

ไม่มีประสบการณ์ใดสามารถให้คำตอบต่อคำถามนี้ได้ เพราะตัวตนที่แท้นั้นอยู่เหนือประสบการณ์ทั้งปวง

 

ถาม  แต่คำถามว่า “ฉันคือใคร” ก็น่าจะมีประโยชน์บ้าง

ตอบ  มันไม่มีคำตอบในความรู้ตัว ดังนั้นมันจึงช่วยพาเราไปเหนือความรู้ตัว

 

ถาม  ผมอยู่ที่นี่ – ในปัจจุบันขณะ

อะไรที่จริงภายในนี้ และอะไรที่ไม่จริง?

กรุณาอย่าบอกว่าคำถามของผมผิด

การตั้งคำถามต่อคำถามของผมไม่ทำให้ผมเข้าใจอะไรขึ้นได้

ตอบ  คำถามของเธอไม่ได้ผิด แต่มันไม่จำเป็น

เธอพูดว่า “ฉันอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้”

หยุดอยู่ตรงนั้น ตรงนี้แหละที่เป็นจริง

อย่าเปลี่ยนความจริงให้เป็นคำถาม

ข้อผิดพลาดของเธออยู่ตรงนี้

เธอไม่ได้รู้ และก็ไม่ได้ไม่รู้ เธอไม่ได้เป็นใจหรือสสาร อย่าพยายามอธิบายความเป็นตัวเธอในรูปของใจและสสาร

 

ถาม  ในขณะนี้ มีเด็กน้อยที่มีปัญหามาพบท่าน

ท่านพูดกับเขาไม่กี่คำแล้วเขาก็จากไป

ท่านได้ช่วยเขาแล้วหรือ?

ตอบ  แน่นอน

 

ถาม  ทำไมท่านจึงมั่นใจอย่างนั้น?

ตอบ  การช่วยเขาคือธรรมชาติของฉัน

 

ถาม  ท่านรู้ “มัน” ได้อย่างไร?

ตอบ  ไม่จำเป็นต้องรู้ มันทำงานของมันเอง

 

ถาม  แต่ท่านก็พูดถ้อยคำต่างๆออกมา มันออกมาบนพื้นฐานของอะไร?

ตอบ  บนพื้นฐานของสิ่งที่ผู้คนพูดกับฉัน

แต่เธอกลับมาถามหาหลักฐาน

ฉันไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น

การปรับสิ่งต่างๆให้ถูกต้อง เป็นธรรมชาติของฉัน ซึ่งเป็นความจริง เป็นความดี เป็นความสวยงาม (satyam, shivam, sundaram)

 

ถาม  เมื่อผู้คนมาพบท่าน เพื่อขอคำแนะนำ และท่านให้คำแนะนำแก่เขา คำแนะนำเหล่านี้มาจากไหน และมันมีพลังในการช่วยเหลือเขาเหล่านั้นอย่างไร?

ตอบ  การมีอยู่เป็นอยู่ของเขาเองส่งผลต่อใจของเขา และเหนี่ยวนำให้เกิดการตอบสนอง

 

ถาม  และบทบาทของท่านคืออะไร?

ตอบ  ภายในฉัน บุคคลและตัวตนแท้จริงของเขาได้มาพบกัน

 

ถาม  ทำไมตัวตนแท้จริงของบุคคลจึงไม่ช่วยตัวเขาเองโดยไม่ต้องมีท่าน?

ตอบ  แต่ฉันคือตัวตนแท้จริง

เธอจินตนาการว่าฉันแปลกแยกแตกต่าง เธอจึงถามคำถามเหล่านี้

มันไม่มี “ตัวตนแท้จริงของฉัน” และ “ตัวตนแท้จริงของเขา”

มันมีเพียง “ตัวตนแท้จริง” เพียงหนึ่งเดียว

เธอถูกทำให้หลงผิดโดยความหลากหลายของชื่อและรูปร่าง ของใจและกาย เธอจึงจินตนาการว่ามีหลากหลายตัวตนที่แท้

เราทั้งคู่ต่างก็เป็นตัวตนที่แท้ แต่เธอยังไม่มั่นใจในข้อนั้น

การพูดถึงตัวตนที่แท้ส่วนบุคคลและตัวตนที่แท้ซึ่งเป็นสากล เป็นสิ่งที่อยู่ในขั้นตอนของผู้เรียนรู้ จงไปให้เหนือขั้นตอนนั้น อย่าติดข้องอยู่ในความเป็นของคู่

 

ถาม  ขอกลับมาถึงเรื่องชายผู้ต้องการความช่วยเหลือ

เขามาหาท่าน

ตอบ  ถ้าเขามาหาฉัน เขาต้องได้รับการช่วยเหลือแน่นอน

เพราะเป็นโชคชะตาของเขาที่จะได้รับความช่วยเหลือ เขาจึงมา

ไม่มีอะไรเพ้อฝันเกี่ยวกับเรื่องนี้

ฉันไม่สามารถช่วยบางคน และปฏิเสธบางคน

ทุกคนที่มาได้รับการช่วยเหลือ เพราะนั่นคือกฏ

มีเพียงรูปแบบของความช่วยเหลือที่อาจต่างกันไปตามความต้องการของแต่ละคน

 

ถาม  ทำไมเขาต้องมาที่นี่เพื่อรับคำแนะนำ?

เขาไม่สามารถได้คำแนะนำจากภายในของเขาเองหรือ?

ตอบ  เขาจะไม่ยอมฟัง ใจของเขาหันออกไปภายนอก

แต่อันที่จริง ทุกประสบการณ์ล้วนอยู่ภายในใจ และแม้การที่เขามาพบฉันและได้รับความช่วยเหลือ ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในของเขาทั้งนั้น

แทนที่จะหาคำตอบภายในตัวเขา เขาจินตนาการคำตอบจากภายนอก

สำหรับฉัน มันไม่มีฉัน ไม่มีผู้ชาย และไม่มีการให้

ทั้งหมดนี้เป็นแค่ประกายแว่บในใจ

ฉันคือความเงียบและความสงบสันติไม่มีประมาณซึ่งไม่มีอะไรปรากฏขึ้น เพราะทุกสิ่งที่ปรากฏขึ้น – ย่อมดับไป

ไม่มีผู้มาขอความช่วยเหลือ ไม่มีผู้ให้ความช่วยเหลือ ไม่มีผู้ได้รับการช่วยเหลือ

ทั้งหมดล้วนเป็นการแสดงภายในความรู้ตัว

 

ถาม  แต่พลังในการช่วยมีอยู่ที่นั่น และมีบางคนหรือบางสิ่งแสดงพลังนั้น เราอาจเรียกสิ่งนั้นว่าพระเจ้า หรือตัวตนที่แท้ หรือจิตสากล

ชื่อที่ใช้เรียกไม่สำคัญ แต่ข้อเท็จจริงสำคัญ

ตอบ  นี่คือจุดยืนของ กาย-ใจ

ใจที่บริสุทธิ์ เห็นสิ่งต่างๆตามที่มันเป็น – เป็นแค่ฟองฟอดในความรู้ตัว

ฟองเหล่านี้เกิดขึ้น หายไป และเกิดขึ้นมาใหม่ – โดยไม่มีอยู่จริง

เราไม่สามารถระบุสาเหตุที่เฉพาะเจาะจงให้แก่มันได้ เพราะแต่ละฟองเกิดขึ้นโดยทุกสิ่งและส่งผลต่อทุกสิ่ง

แต่ละฟองคือหนึ่งร่างกาย และทุกร่างกายเป็นของฉัน

 

ถาม  ท่านหมายความว่า ท่านมีพลังอำนาจที่จะทำทุกสิ่งอย่างถูกต้อง เช่นนั้นหรือ?

ตอบ  ไม่มีพลังอำนาจใดที่แยกจากฉัน

มันเป็นเนื้อแท้ภายในธรรมชาติของฉัน

เธออาจเรียกมันว่า ความคิดสร้างสรรค์

ถ้าเธอมีทองสักก้อนหนึ่ง เธอจะสามารถทำเครื่องประดับได้หลายอย่าง – แต่ละอย่างก็ยังคงเป็นทอง

ทำนองเดียวกัน ฉันอาจดูเหมือนว่ามีบทบาทหลายแบบ หรือทำหน้าที่หลายอย่าง – แต่ฉันก็ยังคงเป็นสิ่งที่ฉันเป็น – นั่นคือสภาวะ “ฉันเป็น” ที่คงที่ มั่นคง อิสระ

สิ่งที่เธอเรียกว่าจักรวาล ธรรมชาติ คือความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นปกติวิสัยของฉัน

ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น – จะเกิดขึ้น

แต่มันคือธรรมชาติของฉันว่าทุกสิ่งจบลงด้วยความปิติยินดี

 

ถาม  ผมมีกรณีของเด็กชายที่ตาบอดเพราะแม่ที่โง่เขลาเอาเมทิลแอลกอฮอล์ป้อนให้เขาดื่ม

ผมขอร้องให้ท่านช่วยเขา

ท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยความเห็นอกเห็นใจและเต็มใจที่จะช่วยเหลือ

ท่านสามารถช่วยเขาด้วยพลังอำนาจแบบใด?

ตอบ  กรณีของเขาถูกบันทึกในความรู้ตัว

มันอยู่ที่นั่น – ไม่สามารถลบออก

ความรู้ตัวจะทำหน้าที่ของมัน

 

ถาม  ถ้าผมขอให้ท่านช่วย มันจะแตกต่างกันไหม?

ตอบ  การร้องขอของเธอเป็นส่วนหนึ่งของการตาบอดของเด็กชาย

เพราะเขาตาบอด เธอจึงมาร้องขอ

เธอไม่ได้เพิ่มเติมอะไรเข้าไปในเรื่องนี้

 

ถาม  แต่ความช่วยเหลือของท่านจะเป็นปัจจัยใหม่ไม่ใช่หรือ?

ตอบ  ไม่เลย ทั้งหมดล้วยอยู่ในการตาบอดของเด็กชาย

ทุกอย่างอยู่ในนั้น - แม่ เด็กชาย เธอ และฉัน และสิ่งอื่นๆทั้งหมด

มันคือเหตุการณ์เดียว

 

ถาม  ท่านหมายความว่า แม้การพูดคุยของเราเกี่ยวกับกรณีของเด็กชาย เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วเช่นนั้นหรือ?

ตอบ  มันจะเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร?

ทุกสิ่งมีอนาคตของมันบรรจุอยู่ภายใน

เด้กชายปรากฏในความรู้ตัว

ฉันอยู่เหนือความรู้ตัว

ฉันไม่ได้ออกคำสั่งให้แก่ความรู้ตัว

ฉันรู้ว่า มันเป็นธรรมชาติของความตระหนัก ที่จะปรับทุกอย่างให้ถูกต้อง

จงปล่อยให้ความรู้ตัวดูแลสิ่งที่มันสร้างขึ้น

ความโศกเศร้าของเด็กชาย ความสงสารของเธอ การรับฟังของฉัน และการกระทำของความรู้ตัว – ทั้งหมดนี้เป็นข้อเท็จจริงหนึ่งเดียว – อย่าแยกมันออกเป็นส่วนย่อย จากนั้นจึงตั้งคำถาม

 

ถาม  ใจของท่านทำงานอย่างประหลาดขนาดไหน?

ตอบ  เธอประหลาด ไม่ใช่ฉัน

ฉันเป็นปกติ ฉันมีสติ

ฉันเห็นสิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็น ดังนั้นฉันจึงไม่กลัวมัน

แต่เธอ กลัวความจริง

 

ถาม  ทำไมผมจึงต้องกล้วความจริงด้วยเล่า?

ตอบ  ความไม่รู้ (อวิชชา) ของตัวเธอที่ทำให้เธอกลัว และไม่ตระหนักว่าเธอกลัว

อย่าพยายามทำเป็นไม่กลัว

สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ทำลายกำแพงแห่งความไม่รู้นี้

ผู้คนต่างกลัวตาย เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าความตายคืออะไร

ท่านผู้รู้ (jnana) ตายก่อนตาย ท่านเห็นว่าไม่มีอะไรที่ต้องกลัว

ทันทีที่เธอรู้ตัวตนแท้จริง เธอจะไม่กลัวสิ่งใดเลย

ความตายให้อิสรภาพและพลังอำนาจ

การเป็นอิสระในโลก เธอต้องตายไปจากโลก

จากนั้นจักรวาลจะเป็นของเธอ มันกลายเป็นร่างกายของเธอ เป็นการแสดงออก และเป็นเครื่องมือ

ความสุขของการเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์เป็นสิ่งที่อยู่เหนือคำบรรยาย

ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่กลัวอิสรภาพจะไม่สามารถตายได้

 

ถาม  ท่านหมายความว่า ผู้ที่ไม่สามารถตาย จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ ใช่ไหม?

ตอบ  เธอจะพูดว่าอย่างไรก็ได้ ความผูกพันคือการยึดติด การปลดปล่อยความผูกพันคืออิสรภาพ

ความกระหายอยากคือความเป็นทาส

 

ถาม  ถ้าเราได้รับการช่วยชีวิต โลกก็จะได้รับการช่วยชีวิตด้วยใช่ไหม?

ตอบ  ในองค์รวม โลกไม่ได้ต้องการการช่วยชีวิต

มนุษย์ทำผิดพลาด และทำให้เกิดความเศร้าโศก เมื่อมันเข้าไปในสนามของความตระหนัก หรือความรู้ตัวของท่านผู้รู้ (jnani) มันจะถูกปรับให้ถูกต้อง

มันคือธรรมชาติของท่าน

 

ถาม  เราสามารถเฝ้าสังเกตสิ่งที่อาจเรียกว่า ความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ

คนที่เคยเห็นแก่ตัว ได้กลายเป็นผู้เคร่งศาสนา ควบคุมตัวเอง กลั่นความคิดและอารมณ์ให้บริสุทธิ์ หมั่นฝึกฝนปฏิบัติทางจิตวิญญาณ ตระหนักและเข้าถึงตัวตนที่แท้

ความก้าวหน้านั้นถูกกำหนดโดยเหตุปัจจัย หรือเกิดขึ้นโดยบังเอิญ

ตอบ  ในความเห็นของฉัน ทุกสิ่งเกิดขึ้นโดยตัวของมันเอง เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

แต่มนุษย์จินตนาการว่าเขาทำงานด้วยแรงจูงใจ เพื่อมุ่งไปยังเป้าหมาย

เขามีภาพของรางวัลที่จะได้รับอยู่ในใจตลอดเวลา และมุ่งมั่นเพื่อรางวัลนั้น

 

ถาม  คนที่หยาบกระด้างและไม่มีวิวัฒนาการจะไม่ทำงานถ้าไม่มีรางวัล

การเสนอให้แรงจูงใจแก่คนเช่นนั้นเป็นสิ่งไม่ถูกต้องหรือ?

ตอบ  เขาจะสร้างแรงจูงใจให้ตัวเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่แล้ว

เขาไม่รู้ว่า การเติบโต อยู่ในธรรมชาติของความรู้ตัว

เขาจะก้าวไปข้างหน้าจากแรงจูงใจหนึ่ง ไปยังอีกแรงจูงใจหนึ่ง และจะไล่ล่าครูจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง เพื่อเติมเต็มความต้องการของตน

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง โดยกฏของความเป็นเขา เขาได้พบวิธีของการกลับมา (nivritti) เขาจะละทิ้งแรงจูงใจทั้งหมด เพราะความสนใจในโลกของเขาได้สิ้นสุดลง

เขาไม่ต้องการอะไรเลย – ไม่ว่าจากคนอื่นหรือจากตัวเอง

เขาตายจากทุกสิ่งและกลายเป็น “ทุกสิ่ง”

การไม่ต้องการสิ่งใดๆ และไม่ทำสิ่งใดๆ – นั่นคือการสร้างที่แท้จริง

การเฝ้ามองจักรวาลเกิดขึ้นใหม่และยุบตัวลงในหัวใจของเรา เป็นความอัศจรรย์ใจแท้จริง

 

ถาม  อุปสรรคใหญ่หลวงของความพยายามภายในคือ ความเบื่อ

เหล่าสาวกทั้งหลายรู้สึกเบื่อ

ตอบ  ความเฉื่อยและความร้อนรน (tamas และ rajas) ทำงานด้วยกัน และทำให้ความใสสะอาดและความกลมกลืน (sattva) ลดลง

ความเฉื่อยและความร้อนรนต้องถูกเอาชนะเสียก่อน ความใสสะอาดและความกลมกลืนจึงจะปรากฏ

มันจะเกิดตามมาในทันที อย่างเป็นธรรมชาติ

 

ถาม  ถ้าอย่างนั้น มันไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามใดๆเลยใช่ไหม?

ตอบ  ถ้าความพยายามเป็นที่ต้องการ ความพยายามจะปรากฏขึ้น

เมื่อการไร้ความพยายามกลายเป็นสิ่งจำเป็น มันจะยืนยันตัวมันเอง

เธอไม่จำเป็นต้องผลักดันชีวิตไปในทางต่างๆ

แค่เลื่อนไหลไปตามมัน และปล่อยตัวเองอย่างสิ้นเชิงให้เป็นหน้าที่ของปัจจุบันขณะ ซึ่งก็คือการตายในปัจจุบันแก่ปัจจุบัน

เพราะการมีชีวิตอยู่คือการตาย

ถ้าไม่มีความตาย ชีวิตก็ไม่สามารถมีได้

จงยึดในหลักที่ว่าโลกและตัวตนที่แท้เป็นหนึ่งเดียว และสมบูรณ์แบบ

มีเพียงทัศนคติของเธอเท่านั้นที่ผิดพลาด และจำเป็นต้องได้รับการปรับใหม่

กระบวนการหรือการปรับใหม่นี้ คือสิ่งที่เธอเรียกว่า การปฏิบัติ (sadhana)

เธอเข้ารับการปรับใหม่โดยหยุดความเกียจคร้าน และใช้พลังงานทั้งหมดของเธอในการแผ้วถางทางแก่ความชัดเจนและการกุศล

แต่ในความเป็นจริง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสัญญาณของการเติบโตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่ากลัว อย่าขัดขืน อย่าล่าช้า

เป็นสิ่งที่เธอป็น

ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว

เชื่อมั่นและพยายาม

ทดลองด้วยตัวเองอย่างซื่อสัตย์

ให้โอกาสแก่ตัวตนที่แท้ของเธอในการขึ้นรูปชีวิตของเธอ

แล้วเธอจะไม่เสียใจเลย

 

ศรี นิสาร์กะทัตตะ มหาราช

“I AM THAT”

หมายเลขบันทึก: 637564เขียนเมื่อ 21 กันยายน 2017 17:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 กันยายน 2017 17:47 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท