จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เริ่มจากคนไข้เบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลไม่ได้จากโรงพยาบาลประจำจังหวัดเนื่องจากไม่เคยปรับพฤติกรรมสุขภาพเลย ไม่ว่าหมอพยาบาลจะแนะนำพาเข้ากลุ่มก็แล้วก็ยังไม่สามารถช่วยไหว และเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนก็มาถึง เมื่อคนไข้หญิงวัย 75 ปีท่านนี้ตัดสินใจเข้ารักษากับลุงเสิดที่คลินิกจากคำแนะนำของเพื่อน
จากการซักประวัติก็ทำให้ทราบที่มาที่ไปของคนไข้ ว่าทำไมไม่สามารปรับพฤติกรรมสุขภาพได้ ด้วยเหตุที่ คนไข้พักอาศัยกับลูกสาวซึ่งเป็นผู้บริหารโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งตัวจังหวัดมีลูกเล็กๆ สองคนที่ยังเรียนโรงเรียนประถม สามีทำงานอยู่ต่างจังหวัด และมีที่พักอยู่ชานเมือง ดูเหมือนชีวิตจะยุ่งวุ่นวายไปหมดกับเวลาที่ไม่ลงตัว คุณแม่ต้องตื่นเช้าไปส่งลูกๆ ั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง กว่าจะกลับบ้านก็ค่ำเลย คุณยายต้องหาอาหารกินเองในร้านค้าใกล้บ้าน ไม่มีสังคมไม่ได้เข้าชมรมผู้สูงอายุและไม่มีเพื่อน น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะร้อยกิโล และคุมเบาหวานไม่ได้
มาถึงการรักษา ลุงเสิดพิจารณาและจะแนะนำคนไข้ให้ออกกำลังกายและปรับพฤติกรรมการกินเหมืินเคสอื่นๆ คงไม่ได้ซะแล้ว จึงใช้อุบายที่แยบยลที่สุดว่า
"คุณยายครับโรคของคุณยายรักษาไม่ยากเลยแค่ได้กินยาวิเศษเม็ดเดียว จากพระอาจารย์ของหมอ"
"ยังไงคะหมอ หมอจ่ายยามาเลย แพงเท่าไหร่ไม่ว่า"
"ยาวิเศษเม็ดเดียวนี้ไม่ต้องซื้อหรอกยายเพราะพระอาจารย์ท่านให้ฟรี แต่ตอนนี้หมอไม่ได้ขอยาไว้ พระอาจารย์ ท่านจะกลับมาหาหมอช่วงตีห้าถึงหกโมงเช้าทุกวันที่บุ่งตาหลั่ว (สวนสาธารณะขนาดใหญ่ของโคราชมีทางเดินรอบสวนถึง 3.2 กิโลเมตร) ยายจะไปรอหมอที่นั่นได้ไหมทุกวันจนกว่าเราจะเจอกัน พอยายได้ยาปุ๊ปกินปั๊ปก็หายทันทีเลย ถ้าไปแล้วหกโมงเช้าก่อนแล้วเรายังไม่เจอกันก็กลับก่อนได้ ไปจนกว่าเราจะเจอกันนะ เพราะว่าหมอก็ไม่รู้ว่าพระอาจารย์ท่านจะมาวันไหนจะได้ไม่คลาดกันเน๊าะ แต่หมอไปปั่นจักรยานทุกวันนะยังไงก็ต้องไม่พลาดแน่ๆ"
"ได้ได้หมอ ยายจะให้ลูกสาวไปส่งทุกวันนะจนกว่าจะเจอ"
จากวันนั้นเป็นเวลาเกือบสองเดือน และแล้วคุณยายก็เจอลุงเสิดที่สวนสาธารณะแห่งนั้นจนได้ ลุงเสิดเห็นแกทุกวันแหละแต่ปั่นจักรยานเร็วให้แกมองไม่ทัน แต่วันนั้นพลาด เพราะยายแกมากระโดดขวางทางจักรยานเลย
"เจอตัวแล้วหมอเสิดไหนหล่ะยาวิเศษที่บอก นี่ยายมาเดินหาหมอเสิดเกือบสองเดือนจนน้ำหนักลดไปหลายกิโลแล้วนี่ เดินทุกวันก็หิวซื้อข้าวโพดกินทุกวัน ตอนนี้เบาหวานก็คุมได้แล้ว เมื่อไหร่จะได้กินยา"
"คุณยายครับน้ำหนักก็ลดแล้วเบาวหวานก็คุมได้แล้วไม่ต้องกินยาวิเศษก็ได้มั๊ง"
"ไม่ได้หรอก ยายอยากหายไวไว นี่ก็รบกวนลูกสาวให้ตื่นเช้าพายายมาเดินหาหมอทุกวันเลย พอเดินเสร็จไม่เจอก็ต้องไปหาของกินที่ตลาดก่อนเข้าบ้านออกกำลังกายแล้วก็หิวเลยต้องกินข้าวก่อนไปทำงานแปลกแต่ก็ไปส่งลูกๆทันแถมมีอาหารเช้าให้กินด้วยทุกวันตั้งแต่มาเดินเนี๊ยะ"
"นี่ไงยาย!! ก็เกือบจะหายแล้วนี่ไง ยาวิเศษของหมอคือการจัดเวลามาออกกำลังกายวันละชั่วโมง ยายและลูกสาวได้มาเดินตอนเช้าอากาศดีดีทุกวัน น้ำหนักก็ลด พอหิวเราก็อยากจะกินแต่ของที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้สุขภาพทุกคนในบ้านดีขึ้น เด็กๆ ก็ได้กินข้าวเช้าคุณครู (ลูกสาวยาย) ก็ไม่ค่อยเครียดแล้ว"
"จริงด้วยค่ะ" ลูกสาวคุณยายพูด "ขอบคุณหมอเสิดมากเลยพี่เองก็ได้ประโยชน์ไปด้วย ไม่น่าเชื่อว่าพี่จะติดการออกกำลังกายไปแล้ว แรกๆ ก็แอบเคืองๆ ว่าทำไม่ต้องให้มารอกินยา ทุกวันตอนเช้า แต่พอมาหลายวันเข้า ก็พอจะเข้าใจค่ะ แต่ก็ยินดีพาคุณแม่มาทุกวันยิ่งเห็นคุณแม่อาการดีขึ้นก็ยิ่งอยากมาทุกวัน และก็ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถทำภาระกิจช่วงเช้าได้ทันสบายๆ เลย"
หลังจากนั้นไม่นานคุณยายก็ตัดสินใจงดรับยาเบาหวานจากโรงพยาบาลและขอรับยาเบาหวานซึ่งเป็นยาไทยจากคลินิกแทน ด้วยการที่ท่านได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และลดน้ำหนักลงได้ในที่สุดก็หยุดใช้ยา ผลการตรวจเลือดก็ไม่พบความผิดปกติใดใด
บทสรุปคือ คุณยายหายป่วยด้วยการออกกำลังกาย และการกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่บุคลากรทางสาธารณสุขพยายามบอกคนไข้มาโดยตลอด วิธีบอก หรือวิธีแนะนำอาจจะแตกต่างกันไป ทั้งหมดที่เล่ามาเป็นอีกวิธีการนึงที่ลุงเสิดใช้แล้วได้ผลดี เลยอยากจะนำมาแบ่งปันกันครับ มีภาพยามเช้าของสวนน้ำบุ่งตาหลั่วมาฝากด้วยครับ
ไม่มีความเห็น