ชีวิตที่พอเพียง : 2979b โรงงานผลิตปัญญา : 6. วิธีเรียนของนักศึกษา
บันทึกชุด โรงงานผลิตปัญญา ตีความจากหนังสือ Wisdom’s Workshop : The Rise of the Modern University สำหรับตอนที่หกนี้ ตีความจากบทที่ 2 Oxbridge ในตอนกลางๆ บท ที่เล่าเรื่องนักศึกษา
ช่วงเวลาที่กล่าวถึงส่วนใหญ่อยู่ในศตวรรษที่ 15 - 17 นักศึกษามาจากครอบครัวคนรวยหรือสูงศักดิ์ ประมาณครึ่งหนึ่ง มาจากลูกชาวบ้านอีกประมาณครึ่งหนึ่ง กลุ่มหลังนี้มักต้องได้รับทุนเล่าเรียน โดยผมเดาว่ากลุ่มหลังนี้แหละที่ช่วยผดุงคุณภาพสูงของมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ดและเคมบริดจ์ไว้
เข้าศตวรรษที่ 16 ทั้งสองมหาวิทยาลัยปรับตัวมาเน้นรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี อายุเริ่มเข้าเรียนตั้งแต่ ๑๖ ปี ขึ้นไป และนักศึกษาทั้งหมดต้องอยู่หอในมหาวิทยาลัย เด็กหนุ่มลูกผู้สูงศักดิ์หรือลูกเศรษฐี มาอยู่ร่วมกันจำนวนมาก จะมีเรื่องวุ่นวายให้ต้องดูแลขนาดไหนน่าจะพอนึกออก หนังสือเล่มนี้เล่าไว้เยอะมาก
นักศึกษาเรียนโดยไปฟังเล็กเชอร์ของมหาวิทยาลัย แล้วมาฟังเล็กเชอร์เสริมหรือการติวของวิทยาลัย และเมื่อเวลาผ่านไป เล็กเชอร์ระดับมหาวิทยาลัยก็เสื่อมความนิยมลงไปเรื่อยๆ ทดแทนด้วยเล็กเชอร์ระดับ วิทยาลัย เพราะอาจารย์ระดับติวเต้อร์หนุ่มๆ รู้ใจศิษย์มากกว่า และค้นคว้ามาสนองความต้องการของศิษย์ได้ ตรงกว่า รวมทั้งช่วยเหลือนักศึกษาเป็นรายคน ให้ได้เรียนตรงกับเป้าหมายชีวิตในอนาคตของแต่ละคน ที่จะออกไปเป็นพระ เป็นข้าราชการ หรือเป็นเจ้าที่ดิน
สังคมสมัยนั้น เป็นสังคมศักดินาเต็มรูป เต็มไปด้วยผู้มีอิทธิพล ที่จะหลบเลี่ยงกติกาให้แก่ลูกของตน เช่นให้สอบผ่าน ให้ไม่ต้องเรียนบางวิชา ให้เรียนจบเร็วๆ ให้ไม่ต้องถูกลงโทษเมื่อประพฤติซุกซน ผิดวินัย นักศึกษา มหาวิทยาลัยก็ต้องหาวิธีธำรงมาตรฐานคุณภาพไว้ ให้ได้ โดยการรับนักศึกษาหัวดี มุมานะตั้งใจเรียนที่มาจากครอบครัวชาวบ้านเข้ามาเรียน นักศึกษาเหล่านี้มักตั้งใจเรียนจนได้รับปริญญา ในขณะที่นักศึกษาลูกท่านหลานเธอมักมาเรียนเพียงสองปี พอให้ได้ประสบการณ์ในมหาวิทยาลัย ไม่มีความจำเป็นต้องได้ปริญญาเอาไปไต่บันไดทางสังคม เพราะตนอยู่ชั้นบนอยู่แล้ว
ในหนังสือหน้า ๘๔ เอ่ยถึงติวเต้อร์พิเศษ (private tutor) ที่นักศึกษานิยมไปเรียนวิชาฟันดาบ เต้นรำ และขี่ม้า ซึ่งผมตีความว่าติวเต้อร์เหล่านี้เป็นผู้เชี่ยวชาญการฝึกจริงๆ เป็นการฝึกทักษะ ไม่ใช่สอนทฤษฎี เมื่อกว่ายี่สิบปีมาแล้วเพื่อนของผมคนหนึ่งเล่าว่าลูกสาวของเขาไปสอบเทียบ ม. ๖ สอบวิชาพลศึกษาวิชาย่อยบาสเก็ตบอลโดยไปนั่งสอบในห้องสอบ ตอบคำถามทางทฤษฎีเท่านั้น และสอบผ่านฉลุย โดยมีคนช่วยติวให้สองสามชั่วโมงเท่านั้น การสอบเทียบที่สมัยลูกสาวของผมเรียนเมื่อ สามสิบปีก่อน เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว
ในสมัยนั้น นักศึกษาที่ทำผิดวินัย อาจถูกเฆี่ยน หรือจองจำ เขาไม่ได้บอกว่า สภาพเช่นนั้นหมดไป ในสมัยไหน
เข้าใจว่า หลังจากมีเครื่องพิมพ์หนังสือในปี 1450 เป็นต้นมา นักศึกษาเรียนจากการอ่านหนังสือสะดวก ขึ้นมาก อาจเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้การบรรยายวิชาทั่วๆ ไปในระดับมหาวิทยาลัยเสื่อมความนิยมลง หนังสือน่าจะช่วยให้นักศึกษาและติวเต้อร์ร่วมกันกำหนดวิชาที่จะเรียนแบบจำเพาะรายคนได้ สมัยนั้นการสอน ยังไม่ใช้แนวทางสอนเหมือนๆ กันหมดเป็นชั้นใหญ่อย่างในปัจจุบัน
สหรัฐอเมริกา ศตวรรษที่ ๑๗ (บทที่ ๓)
ตอนนั้นมีมหาวิทยาลัยเดียว คือฮาร์วาร์ด ในปี 1642 หลักสูตร ๓ ปี เน้นเรียนภาษาละตินและกรีก, วิชาการคล้าสสิค (rhetoric, logic, philosophy), ประวัติศาสตร์โบราณ, คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เบื้องต้น (ฟิสิกส์ ในปี ๑, ดาราศาสตร์ในปี ๒, และพฤกษศาสตร์ทุกฤดูร้อน) ช่วงเช้าท่านอธิการบดีจะบรรยาย “บทเรียนแห่งวัน” ซึ่งนักศึกษาในชั้นเรียนทั้งสาม (rhetoric, ประวัติศาสตร์, และพฤกษศาสตร์) เข้าฟังพร้อมกัน หลังจากนั้นเป็น “ชั่วโมงเรียน” ที่นักศึกษาเตรียมตัวนำเสนอความเข้าใจ และข้อถกเถียงของตนกับเพื่อนๆ ต่อวิชาที่เรียนในตอนเช้า รวมทั้งการฝึกนำวิชาที่เรียนในตอนเช้า ไปใช้ในชีวิตจริง โปรดสังเกต ว่าการเรียนเมื่อสามร้อยปีก่อน เขาก็ไม่ได้เน้นการท่องจำอย่างการศึกษาไทยสมัยนี้นะครับ
เพราะภาษาคือช่องทางเข้าถึงความรู้จากแหล่งที่หลากหลาย มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดจึงกำหนด ให้นักศึกษาต้องเรียนภาษาโบราณที่ใช้จารึกคัมภีร์ไบเบิ้ล คือภาษา ฮิบรู, เซมิติก (Chaldee / Aramaic), และภาษาซีเรียโบราณ สะท้อนภาพว่า ในสมัยนั้นความรู้ด้านศาสนาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนมีการศึกษาสูง แต่ไม่ใช่แค่รู้ตามตัวอักษรนะครับ หนังสือบอกว่า เพื่อให้นักศึกษาสามารถแปลคัมภีร์ในภาษาดั้งเดิมออกสู่ ภาษาละติน และนำมาตรวจสอบความเป็นเหตุเป็นผลของสาระดังกล่าว จะเห็นว่า การเรียนของเขา เน้นความไม่เชื่อ มากกว่าความเชื่ออย่างงมงายนะครับ
อาจารย์ติวเต้อร์กับศิษย์จะพบกันวันละสองครั้ง เพื่ออ่านหนังสือด้วยกัน และสวดมนตร์ภาวนา ด้วยกัน มีรายการอีกมากที่นักศึกษาทุกคน (ไม่ใช่เฉพาะสาขาเทววิทยาเท่านั้น) เรียนวิชาและภาคปฏิบัติเพื่อ “เรียนรู้สู่พระเจ้า” (godly learning) ต่างจากนักศึกษาสมัยนี้ที่ตั้งตัวเป็นพระเจ้าเสียเอง (๑)
godly learning ในศตวรรษที่ ๑๗ น่าจะเทียบได้กับ transformative learning ในศตวรรษที่ ๒๑
สมัยนั้น การเรียนรู้สู่พระเจ้าสำคัญกว่าการเรียนรุ้สู่การอาชีพหรือการมีงานทำ ต่างจากสมัยนี้โดยสิ้นเชิง
ถ้อยคำในย่อหน้าที่แล้วน่าจะผิด หากตีความว่า godly learning หมายถึงการเรียนรู้สู่ความดีงาม ในประเด็นนี้ ไม่ว่ายุคสมัยใด เป็นสุดยอดของการเรียนรู้เสมอ
วิจารณ์ พานิช
๓ ก.ค. ๖๐ ปรับปรุงเพิ่มเติม ๑๖ ส.ค. ๖๐
การเรียนรู้สู่ความดีงาม....ขอบคุณค่า