ส่วนมากการจะรับรู้อารมณ์ต่างๆของตน รู้ทันถ้วนทั่วน่าจะเป็นช่วงเวลาเงียบๆ ตัวอย่างเช่น หลังสวดมนต์ไหว้พระ แผ่เมตตาก่อนนอน การกำหนดลมหายใจเข้าออก แม้กระทั่งการออกวิ่งในตอนเช้าใกล่รุ่งของแต่ละวัน ความเงียบสงัดของค่ำคืนผู้คนหลับนอนกันแล้ว ความเงียบสงบของเช้ามืดก่อนที่ผู้คนเริ่มจะตื่นจากหลับนอน เริ่มเคลื่อนไหว เริ่มต้นชีวิตในแต่ละวัน
การจ้องดูปัจจุบันขณะของตนเอง ณ เวลาดังกล่าวจึงค่อนข้างจะมีสมาธิดีมาก อาจจะมีวอกแวกในบางวันที่จิตใจยังวางปัญหาเรื่องงานไม่ได้ แต่ก็ดึงกลับมาด้วยจิตที่ยังพอรู้สึกตัวว่ากำลังออกนอกปัจจุบันขณะแห่งการกำหนดรู้
ส่วนในระหว่างการทำงานของแต่ละวัน ระหว่างการใช้ชีวิตในแต่ละวันที่ต้องปฏิสัมพันธุ์กับบุคคลอื่นทั้งคนใกล้ชิด ญาติมิตร เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมทางตลอดถึงคนแปลกหน้ามากมายที่เราพบเจอ การปฏิสัมพันธ์ุที่แตกต่างย่อมนำการรับรู้จิตในปัจจุบันขณะแตกต่างกันไปด้วยเช่นกัน เช่น ระหว่างการทำงานที่มีปัญหาให้แก้ไขหน้างานอยู่เสมอ กับการอยู่กับญาติมิตร ย่อมแตกต่างกันในการกำหนดรู้จิต งานที่ต่อเนื่องยาวนานอาจลืมตัวเพลิดเพลิน หรือเคร่งเครียดไปกับเหตุการณ์เฉพาะหน้านั้น จนถึงช่วงเวลาที่เป็นรอยต่อ อาจโชคดีที่สติมีปัญญาเกิดเรียกจิตให้กลับมาดูปัจจุบันขณะของตนเองอีกครั้ง
ดังนั้นการฝึกฝนขณะที่อยู่ในที่เงียบสงบ อยู่คนเดียว จึงเป็นวิธีที่จะพัฒนาการกำหนดรู้จิต รู้ทันอารมณ์ของตน ให้ท่วงทันกับปัจจุบันขณะแม้นในชีวิตจริงที่อยู่ระหว่างการทำงาน การดำรงชีวิตในที่ต่างๆทั้งกลางวันกลางคืน
........................
ไม่มีความเห็น