ตั้งแต่เริ่มศึกษา พรบ.หลักประกันสุขภาพ
ทำให้มีความเข้าใจในเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น จากที่ไม่ทราบทำให้ทราบ และพร้อมกันนั้นช่วงเวลาที่ศึกษาจะค้นหาช่องว่างไปด้วยว่า "Gap ที่เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันระหว่าง สปสช.และ สธ.คืออะไร"
ได้เกิดการสะท้อนคิดในตนเองหลายประเด็น
1.การทำงานภายใต้แนวคิดเรื่องระบบหลักประสุขภาพ ประโยชน์สูงสุดตกที่ประชาชนแน่นอน
2.แต่ละสองฝั่งฟากย่อมไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ มีทั้งความสำเร็จ (success story) และช่องว่างการพัฒนาและความรู้ (Gap)
3.การฝึกมองเชิงระบบทำให้เราไม่ไปโฟกัสที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งมากนัก ทำให้เปิดประตูใจมองเห็นโอกาสพัฒนาทั้งสองฝ่าย
4.การรักษาแนวคิดนี้ไว้นำมาซึ่งความเกื้อกูลประชาชนถึง 48+ล้านคน และอาจเพิ่มมากกว่านี้ในอนาคต
คำถามที่มีต่อตนเองว่า
"ภายใต้ข้อจำกัดที่รัฐบาลให้งบประมาณแบบจำกัดมากๆ สำหรับการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทย เราจะสามารถดึงศักยภาพที่มีอยู่ในตัวของบุคลกร องค์กร และจุดแข็งที่เป็นอยู่มาพัฒนาระบบและแก้ไขเพื่อปิดช่องว่างต่างๆ ได้อย่างไร"
"รัฐให้งบน้อย"-->สปสช.ดูแลเงินให้ประชาชน-->สธ.ดูแลสุขภาพประชาชนอย่างมีคุณภาพ
เป็นความท้าทายศักยภาพของความเป็นมนุษย์ในการใช้กระบวนการทางปัญญามาแก้ไขและพัฒนาแต่เราต่างเสียพลังงานไปท่ามกลางความขัดแย้งซึ่งเป็นฐานรากทางอารมณ์มากกว่า
อย่างไรก็ตาม วันนี้มีกำลังใจที่มีหลายๆ พื้นที่เปิดประตูใจร่วมเรียนรู้ที่จะแก้ไขและพัฒนาตนเองภายใต้ข้อจำกัดที่ว่า "รัฐให้เงินเรามาน้อยจนเราอาจเผลอไปโกรธผู้ที่คอยดูแลเงินให้ประชาชน"
ขอบพระคุณเครือข่าย R2R ในประเทศไทยที่ให้กำลังใจและให้โอกาสได้เรียนรู้ในหลายๆ สิ่งที่ตนเองไม่รู้พอขยายความรู้ความเข้าใจให้เพิ่มขึ้น
ขอบพระคุณ อ.นพ.ชลอ ศานติวรางคณา ผอ.สปสช.เขต4 Chalor Santiwarangkana คุณพี่แจ็ค Kongwong Chackkarin และพี่ๆ น้องๆ หลายๆท่านใน สปสช.เขต 4 ที่เอื้ออำนวยการเรียนรู้นี้ให้เกิดขึ้นภายใต้ความรักความเข้าใจในกันและกัน และพร้อมที่จะนำเครื่องมือ KM และ R2R มาใช้ในการเรียนรู้สู่การพัฒนาต่อไปภายใต้แนวคิดของการลดความขัดแย้ง เกื้อกูลหาจุดร่วมความดีงามร่วมกัน
#KMUC
#Noteความคิด
10-07-60
อ่านเข้าใจง่ายขึ้นครับ