เมื่อเย็นวานผู้เขียนพาครอบครัวไปกินหมูกระทะร้านชื่อดังย่านบางนาตามความคิดเห็นของลูกสาวที่แจ้งความประสงค์มาว่าอยากกิน ผู้เขียนเห็นว่ามันเป็นการสร้างความสุขอีกอย่างหนึ่ง เพราะได้พาครอบครัวไปทานอาหารนอกบ้านแน่นอนลูกสาวมีความสุขมากที่ได้ออกนอกบ้าน เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศในการรับประทานอาหารเย็นสักวันหนึ่ง เอาเป็นว่ามีความสุขกันตั้งแต่คิดแล้วล่ะ จะยกเว้นก็แต่เจ้าทอฟฟี่ที่หงอยตามเคยที่ต้องเฝ้าบ้าน
เราออกบ้านเร็วกว่าทุกครั้งเพราะรู้ดีว่าถ้าไปช้าจะลำบากกับการหาที่จอดรถ แม้บางครั้งจะได้ที่จอดแต่ตอนออกต้องรอให้เด็กจัดรถเข็ญอยู่นาน ไปถึงก็รู้ว่าร้านกำลังปรับปรุงสถานที่ใหม่ ทำเลที่เคยนั่งจึงเปลี่ยนเป็นด้านบนที่อยู่ติดกับอาหาร เราสั่งเตาย่างมาเพิ่ม 1 ที่ นั่นคือต้องเพิ่มเงิน 99 บาท ผู้เขียนตกลงเพราะจะสะดวกกว่าการไปรอคิวย่างที่เตาใหญ่ที่ต้องอดทนทั้งการรอและความร้อน ด้วยไปแต่วันคนยังไม่เยอะกุ้งเผาเป้าหมายหลักจึงได้มาถึง 3 รอบ คุณแม่บ้านกินอร่อยเต็มที่เลยทีเดียว จนอาหารประเภทหมู ไก่ ลดน้อยลงในครั้งนี้ ส่วนลูกสาวก็ขลุกอยู่กับหอยเชลล์เผาเนย กินไปหลายจานเช่นกัน
อิ่มจนพูดไม่ออก จึงต่อด้วยผลไม้ ผู้เขียนบอกคุณแม่บ้านว่าแตงโมหวานอร่อยมาก กินล้างปากก่อนตบท้ายด้วยไอศกรีม ผู้เขียนไปตักมาเลอะเทอะเปื้อนมือจนลูกสาวหัวเราะชอบใจ จบเพียงเท่านั้นเพราะกินอะไรต่อไม่ได้จริง
ผู้เขียนกระซิบบอกคุณแม่บ้านว่า ครั้งนี้กินคุ้มจริงๆ อิ่มมากมาก คุณแม่บ้านบอกว่าก็คุ้มนะ่สิไม่ยอมควักตังค์นี่คะ ฮา ...ฮาไปแบบอิ่มๆ
ผู้เขียนเพิ่งบันทึกวิธีสร้างความสุขไปจึงไม่อยากทิ้งเรื่องราวการสร้างความสุข การทานอาหารนอกบ้านแม้จะเป็นการลงทุนแต่ก็สร้างความสุขให้กับเราได้ไม่น้อยเลยนะครับ แต่พอตื่นขึ้นมาวันนี้ หลังอาหารเช้าผู้เขียนต้องวิ่งเข้าห้องน้ำที่ทำงานถึง 4 ครั้ง ถามลูกสาวที่อยู่บ้านบอกเป็นเช่นกัน ส่วนคุณแม่บ้านรอดตัวไป ลำไส้ดีจริงๆ หลังเข้าห้องพยาบาลได้ผงเกลือแร่มา 4 ซอง ยาแก้ท้องเสีย รักษาลำไส้(อัลตร้าคาร์บอน) มาแผงหนึ่ง
สรุปแล้วเป็นการสร้างความสุขที่ไม่พอเพียง กินไม่รู้จักพอประมาณ ไม่ประมาณตน หรือว่าเพลินไปกับความสุขมากจนลืมว่าความทุกข์มันอยู่ใกล้ๆันนั่นเอง
..........................
ขอบคุณครับคุณเพชร
กินแบบนี้เรียกว่า ไม่รู้จักพอประมาณ ใช่มัียครับ