บันทึกชุด ศาสตร์และศิลป์ว่าด้วยการสอน นี้ตีความจากหนังสือ The New Art and Science of Teaching เขียนโดย Robert J. Marzano ซึ่งเพิ่งออกวางจำหน่ายในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ นี้เอง
ตอนที่ ๒๔ วางแผนจัดระบบให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กัน ตีความจาก Element 22 : Organizing Students to Interact เป็นตอนสุดท้ายของ ภาค ๖ ใช้ยุทธศาสตร์ที่เป็นลักษณะร่วมของการเรียนทุกแบบ
เป้าหมายของยุทธศาสตร์จัดระบบให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กันทางความคิด ก็เพื่อให้เกิดบรรยากาศการเรียนรู้ แบบร่วมมือกัน (collaborative learning) และจะมีผลเสริมให้ทุกยุทธศาสตร์ในภาค ๖ นี้ ก่อผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้น
คำถามเชิงยุทธศาสตร์ของครู ในการวางแผนจัดระบบให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กัน คือ “ครูจะจัดระบบให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กันได้อย่างไร”
ยุทธศาสตร์และวิธีการที่ครูใช้จัดระบบให้นักศึกษามีปฏิสัมพันธ์กัน มีดังต่อไปนี้
ครูต้องเลือกใช้ยุทธศาสตร์ตามตารางข้างบนให้เหมาะสมตามลักษณะของบทเรียน เช่น peer tutoring ใช้ได้ดีกับการสอนสาระความรู้โดยตรง (direct instruction) ในความรู้เชิงสาระ (declarative knowledge) การจัดนักเรียนเข้ากลุ่มไว้ล่วงหน้า ใช้ได้ผลดีในกิจกรรมฝึกปฏิบัติเพื่อให้รู้ลึกและเชื่อมโยงขึ้น โดยที่ครูจะสามารถ สังเกตเห็นโดยง่ายว่านักเรียนเรียนรู้ก้าวหน้าไปเพียงใด
เมื่อยุทธศาสตร์นี้ได้ผล จะสังเกตเห็นพฤติกรรมของนักเรียนดังต่อไปนี้
· นักเรียนจัดกลุ่มได้อย่างรวดเร็วและมีเป้าหมาย
· นักเรียนปฏิบัติต่อเพื่อนนักเรียนอย่างให้เกียรติแก่กันและกัน
· นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กันในลักษณะที่ช่วยทำให้ความเข้าใจลึกและเชื่อมโยงขึ้น
· นักเรียนทำงานกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพ
ใน ภาค ๖ ใช้ยุทธศาสตร์ที่เป็นลักษณะร่วมของการเรียนทุกแบบ นี้ มียุทธศาสตร์หรือเครื่องมือ ๘ แบบ ให้ครูเลือกใช้ตามความเหมาะสม โดยมีเป้าหมายหลักคือ ให้นักเรียนมองการเรียนเป็นกระบวนการ “สร้างใส่ตัว” (constructive process) คือสร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะต่างๆ สะสมขึ้นภายในตน และนักเรียนทุกคนจะเรียนได้ดียิ่งขึ้น หากนักเรียนเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกัน
ดังนั้นกระบวนการเรียนรู้คือกระบวนการเปลี่ยนแปลง นักเรียนจะต้องเปลี่ยนความคิดของตนไปเรื่อยๆ บางเรื่องเปลี่ยนแบบพอกพูนต่อยอด บางเรื่องเปลี่ยนแบบเพิ่มความซับซ้อน และบางเรื่องเปลี่ยนแบบต้องละทิ้งความรู้เดิม เปลี่ยนชุดความรู้ใหม่ ครูต้องฝึกฝนทักษะในการช่วยให้นักเรียนเปลี่ยนแปลงตนเองโดยการกระทำของตนเอง โดยครูคอยสังเกตความก้าวหน้าหรือการเปลี่ยนแปลงของนักเรียน (embedded formative assessment -https://www.gotoknow.org/posts/tags/Dylan_Wiliam) และให้ คำแนะนำป้อนกลับเชิงสร้างสรรค์ (constructive feedback)
หากใช้เครื่องมือ ๘ ตัวตามในภาค ๖ นี้อย่างได้ผล จะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในห้องเรียนสองอย่างคือ (๑) การเรียนเป็นการทำกิจกรรม (activity-based learning) และ (๒) ห้องเรียนเป็นสถานที่ที่นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์แบบร่วมมือ ช่วยเหลือกัน สิ่งที่เป็นนามธรรมที่เกิดขึ้นคือ การบูรณาการความรู้ใหม่เข้ากับความรู้เดิมภายในสมอง (ร่างกาย) นักเรียน
เครื่องมือทั้ง ๘ นี้จึงเป็นเครื่องมือของ active learning นั่นเอง
ผมเชื่อว่านอกจากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวนักเรียนแล้ว ตัวครูก็เปลี่ยนไปด้วย
วิจารณ์ พานิช
๙ เม.ย. ๖๐
ไม่มีความเห็น