รถเช่าที่ติดต่อไว้มารับที่ที่พักในเมืองเกียวโต ไม่เช้านัก เป็นรถ 7 ที่นั่ง เอากระเป๋าเดินทางขึ้นหลังคารถ เดินทางไปเที่ยว Biwa Valley เมือง Otsu และอีกเมือง คือ Omi-Hachiman
ในภาพกราฟฟิคแผนที่ จุดหมายแรกที่จะไปอยู่ประมาณเลข 9 ซึ่งหมายถึงหากนั่งรถไฟจากเกียวโตออกมาลงสถานี โอทสึ ใช้เวลา 9 นาที และ Omihachiman ตรงเลข 32 ซึ่งหมายถึงหากนั่งรถไฟจากเกียวโต ใช้เวลา 32 นาที ทั้งสองแห่งอยู่ริมทะเลสาบ Biwa ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น
ข้อมูลกล่าวว่าชื่อ Biwa นั้นมาจากรูปร่างของทะเลสาบที่คล้ายเครื่องดนตรีโบราณชื่อ Biwa
ภาพจากhttp://www.junkoueda.com/en/
ในภาพคือสตรีชาวโตเกียว Junko Ueda นักเล่นบิวาซึ่งจะร้องเล่าเรื่องประกอบไปด้วย มักเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักรบ เธอที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ (ชมคลิปเธอแสดงแล้วนึกถึง เก่ง ธชย ดีดจะเข้ค่ะ)
ผู้เขียนเคยนั่งรถไฟเลาะผ่านด้านซ้ายของทะเลสาบมาหลายหน ทราบว่าเป็นทะเลสาบใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น มองดูเวิ้งว้างกว้างไม่เห็นอีกฝั่ง พอไปอ่านเจอว่ามีจุดที่จะขึ้นไปชมวิวทะเลสาบได้สวยงามเลยวางแผนชวนกันไปค่ะ
ตั้งใจไปชมไม่ใช่แค่ผ่านเลยต้องทำความรู้จักกันหน่อย อ่านข้อมูลพบว่าทะเลสาบบิวานั้นเขาเรียกว่าเป็น “แม่” หรือ Mother Lake มีพื้นที่ถึง 670 ตารางกิโลเมตร เส้นรอบวง 235 กิโลเมตร เฉลี่ยความลึกประมาณ 40 เมตร แต่จุดที่ลึกที่สุดลึกถึง 104 เมตร แถมยังเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอายุราว 4 ล้านปี
น้ำจืดจากที่นี่ยังถูกทำเป็นน้ำดื่มแก่ประชากร 15 ล้านคนในแถบคันไซ
การที่ทะเลสาบบิวามีความงามตามธรรมชาติมากมายทั้งหาดชายฝั่ง เกาะต่างๆในทะเลสาบ ภูเขารายรอบ และอยู่ห่างเมืองหลวงเก่า เกียวโต ไปแค่ 10 กิโลเมตร ทำให้เป็นที่ที่ผู้คนมากันมาชมเป็นเวลาช้านาน มีการกล่าวถึงทะเลสาบบิวามามายในวรรณคดี และในประวัติศาสตร์ที่มีการสู้รบกัน(เอง)
รอบทะเลสาบมีวัดสวยๆ สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ตามเมืองมากมายที่อยู่ริมทะเลสาบ น้ำทำให้เกิดอาชีพหลากหลายตั้งแต่การเกษตร เช่น ทำนา ปลูกชา ประมง อุตสาหกรรมที่หลากหลาย ไปจนถึงการค้าระหว่างเมืองต่างๆ (จาก Biwa Valley เราจึงจะไปอีกเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องการค้าขาย ชื่อ Omi-Hachiman ค่ะ)
ปัจจุบันการท่องเที่ยวรอบทะเลสาบเฟื่องฟูมากเพราะเขาวางแผนพัฒนาและดูแลจัดการอย่างดี เที่ยวกันได้ทุกฤดูกาล
****
จุดที่เราเลือกไปชมวิวจากที่สูงคือ Biwa Valley เป็น Ski Resort ที่มีชื่อเสียงและอยู่ใกล้เกียวโตมาก ไม่ต้องไปเล่นสกีไกล ดังนั้นที่จุดนี้จึงมีความสะดวกสบายพร้อมในการเข้าถึงและการขึ้นไปพักผ่อน มีทั้งภัตตาคารและส่วนที่เป็นCafe มีเครื่องดื่มและอาหารเบาๆให้บริการที่ Biwa Terrace
การจะขึ้นไปถึงจุดชมวิว ต้องขึ้น Ropeway ไปบนยอดที่ระดับความสูง 1100 เมตร
วิวเต็มตา อากาศสดชื่นมากค่ะ
ด้านบนมีกิจกรรมสำหรับคนชอบแนวผจญภัยตอนไม่มีหิมะให้สกีคือ Zipline ห้อยรูดไปตามความยาวเชือก กับ Skywalk อย่างในภาพ
สองภาพกิจกรรม Zipline และ Skywalk จาก www.biwako-visitors.jp
ตอนเราขึ้นไปเห็นอุปกรณ์ฝึกวางเรียงราย เตรียมพร้อม และครูฝึกกำลังฝึกคนต้องการเล่นผาดโผนอยู่ 4-5 คน
ทั้งกิจกรรมเล่นสกีและเหาะเหินเดินอากาศแบบนั้นวัยอย่างผู้เขียนได้แต่มองด้วยความชื่นชมหนุ่มสาววัยเยาว์ค่ะ
พวกเราเดินสำรวจข้างนอก
สมาชิกท่านหนึ่งเป็นขาลุยเอาแค่เบาะๆ นั่ง chairlift ไต่ขึ้นไปชมวิวอีกระดับหนึ่งบนลาดเขาติดกันซึ่งเป็นลานสกี
ตอนนี้เห็นเป็นเขาโล้นๆ ไม่สวยงามอะไรเลย บอกเพื่อนว่าพวกรักสงบขอเข้าไปในอาคาร
ไปหาเครื่องดื่มอาหารเบาๆเคล้าวิว ลงมาจากเขาตามเข้าไปก็แล้วกัน
ส่วนที่เป็นอาคารชมวิวและร้านกาแฟคือ Biwa Terrace อาหารพวกแซนด์วิชและอาหารจำพวก snack มีคุณภาพ อร่อยค่ะ มีที่นั่งทั้งด้านนอกและด้านใน อากาศดีที่นั่งด้านนอกถูกจับจองหมด
คุ้มค่าแก่การมาเยือนมาก
ประทับใจวิวและข้อมูลสรรพสิ่งของทะเลสาบน้ำจืดบิวา
ชื่นชมที่ญี่ปุ่นมีวิสัยทัศน์ทะนุบำรุงรักษาสิ่งล้ำค่าเช่นทะเลสาบบิวาอย่างจริงจัง ปัจจุบัน ทะเลสาบบิวา ถูกจัดเป็น Quasi-National Parks มีกฎหมายดูแลความหลากหลายทางชีวภาพ พืช-สัตว์ สิ่งแวดล้อม ของทะเลสาบและพื้นที่โดยรอบหลายฉบับ
กฎหมายฉบับหนึ่งที่ผู้เขียนเห็นว่าเขากล้าทำและมองเห็นปัญหาคือ กฎหมายทีออกมาเมื่อปี 1982 ที่ตั้งมาตรฐานระดับค่าไนโตรเจนและฟอสฟอรัสที่ภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคครัวเรือนจะสามารถปล่อยลงสู่ทะเลสาบ นั่นหมายถึงทุกภาคส่วนที่อยู่โดยรอบทะเลสาบต้องมีการบำบัดน้ำเสียก่อนจะปล่อยลงทะเลสาบ
กฎหมายฉบับนี้ละเอียดถึงขั้นห้ามการใช้/การจำหน่ายสารซักฟอกสังเคราะห์ที่มีส่วนผสมของฟอสฟอรัส
ได้แต่ถอนหายใจเมื่อนึกถึงการดูแลทรัพยากรธรรมชาติทุกชนิดของบ้านเรา
สมควรแก่เวลาก็ลงมาด้วย Ropeway ที่เราซื้อเป็นตั๋วไป-กลับไว้
พอได้เห็นซากุระบานอยู่หลายต้น ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีคงจะงดงามมาก ....แล้วจะกลับมาค่ะ