​การจัดการศึกษาท้องถิ่น ตอนที่ 3 : รร.มัธยมศึกษา


​การจัดการศึกษาท้องถิ่น ตอนที่ 3 : รร.มัธยมศึกษา

15 มิถุนายน 2560

ทีมวิชาการ สมาคมพนักงานเทศบาลแห่งประเทศไทย[1]

ตาม พรบ.การศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 รวมแก้ไขเพิ่ม พ.ศ. 2553 [2] กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถจัดการศึกษาได้ทุกระดับ ตั้งแต่ ปฐมวัยจนถึงอุดมศึกษาได้ ซึ่ง อปท. ส่วนใหญ่มีการจัดการศึกษาทั้งในรูปของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ศพด.) การศึกษาในช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-ป.3) ช่วงชั้นที่ 2 (ป.4-ป.6) ช่วงชั้นที่ 3 (ม.1-ม.3) ช่วงชั้นที่ 4 (ม.4-ม.6) ซึ่งส่วนใหญ่ อปท. จะจัดการศึกษาใน “เด็กเล็ก” ได้แก่ เด็กก่อนปฐมวัย (2-3 ปี), เด็กปฐมวัย (4-6 ปี), เด็กประถมศึกษา (7-12 ปี)

การจัดการศึกษาในช่วง“มัธยมศึกษา” คือในชั้นที่ 3 – 4 (ม.1-ม.6) เป็นช่วงอายุ“เด็กโต” หรือ “เด็กวัยรุ่น” อายุ 13-18 ปี นับเป็นการศึกษาต่อเนื่องมาที่ความสำคัญในลำดับต่อไปที่มีสภาพปัญหาการบริหารจัดการศึกษาที่แตกต่างกันระหว่าง “เด็กเล็กและเด็กโต” โดยปกติ รร. มัธยมศึกษามีการจัดการใน องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาลนคร เทศบาลเมือง และเมืองพัทยา (ไม่รวม กรุงเทพมหานคร) สำหรับเทศบาลตำบลก็มีการจัดการศึกษาเช่นกัน เพียงแต่ส่วนใหญ่จัดการศึกษา รร. ถึงเพียงชั้น ป. 6 มีน้อยรายที่มี รร.ขยายโอกาสถึงชั้น ม. 3

ลองมาดูข้อสังเกตต่าง ๆ ในสภาพปัญหาการจัดการศึกษาท้องถิ่นในระดับมัธยมศึกษาโดยเฉพาะ รร. มัธยมศึกษา อปท. ที่จัดตั้งใหม่ ๆ อาทิเช่น

(1) สถานที่ไม่พร้อม หรือไม่เอื้อต่อการจัดการศึกษา หากต้องสนองต่อความต้องการประชาชนแล้ว อาจทำให้การจัดการศึกษาไม่ได้คุณภาพ เพราะมีขั้นตอนการจัดการศึกษาที่ง่ายเพียงขออนุมัติเปิดโรงเรียนสภาท้องถิ่นในปีนี้แล้วปีถัดไปก็สามารถเปิดการเรียนการสอนได้เลย ความพร้อมในหลักสูตรสถานศึกษาบางแห่งจึงยังไม่มีจึงมีผลต่อคุณภาพการศึกษาที่ตามมา

(2) ปัญหาด้านบุคลากรทางการศึกษา มีไม่ครบทุกกลุ่มสาระ [3] บางแห่งไม่มีการจัดกลุ่มสาระเพราะบุคลากรไม่เพียงพอครูขาดแคลน เช่น บางแห่งให้ครูคอมพิวเตอร์ไปสอนกลุ่มสาระการงานพื้นฐานอาชีพ ประเภท อุตสาหกรรม คหกรรม เกษตรกรรม แม้ว่าเป็นการจัดการศึกษาที่ได้ความรู้ แต่อาจไม่สามารถใช้งานได้จริง ด้วยทักษะการเรียนการสอนที่ไม่ตรงมองกลับในวิสัยทัศน์ผู้บริหารท้องถิ่นได้ว่า เพราะ อปท.ต้นสังกัดอาจไม่อยากให้โรงเรียนพัฒนาไปกว่า อปท. หรืออย่างไร

(3) การจัดการศึกษาในช่วงชั้นที่ 3 ระดับ ม.1 -3 อปท.สามารถขยายโอกาสต่อจากประถมเป็นโรงเรียนขยายโอกาส [4] (มัธยมศึกษา) ได้เลยโดยไม่ต้องอนุญาตจาก รร. มัธยมศึกษาในระยะ 10 กิโลเมตรแต่หากจะมีการจัดการศึกษาช่วงชั้นที่ 4 ม.4-6 ต้องขออนุญาตจาก รร. มัธยมศึกษาในระยะ 10 กิโลเมตรเสียก่อน(โดยเฉพาะ รร. มัธยมศึกษาของกระทรวงศึกษา) หาก รร.ดังกล่าวไม่ยินยอมอนุญาต อปท.ก็จะจัดการศึกษาในช่วงชั้นที่ 4 (มัธยมปลาย) ไม่ได้ เนื่องด้วยการจัดการศึกษาช่วงชั้นที่ 4 รร. ต้องมีรายได้มีค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษา แต่ท้องถิ่นที่จะมาจัดการศึกษา จะจัดการจัดศึกษา “แบบให้ฟรี” ซึ่งเป็นข้อแตกต่างที่เห็นชัดเจนระหว่าง รร. มัธยมศึกษาของกระทรวงศึกษา และ รร. ของ อปท. ที่ท้องถิ่นมีทั้งเงินอุดหนุนทั้งจากส่วนกลางและจากท้องถิ่นเอง ซึ่ง รร. ของกระทรวงศึกษาอาจไม่มีงบประมาณมากในลักษณะเช่นนี้

(4) การบริหารจัดการศึกษาของท้องถิ่นทุก อปท.จัดการศึกษาแบบอิสระเอกเทศใน“ลักษณะตัวใครตัวมัน”ที่แต่ละท้องถิ่นต่างก็ดูแลกันเองทำให้ขาดองค์ความรู้ในการถ่ายทอด การตรวจสอบการปรับปรุง ซึ่งบางแห่งจะประสบกับการสอนที่ขาดมีคุณภาพได้ เพราะ รร. อปท. แต่ละแห่งอาจไม่รู้ไม่ทราบสถานะและคุณภาพการศึกษาของตนเองจนกว่าจะได้มีการทดสอบผู้เรียนเมื่อไปเรียนต่อที่อื่นหรือไปทดสอบข้อสอบส่วนกลางเท่านั้น

(5) ปัญหาทางด้านวิชาการ อปท. ไม่มีหน่วยงานสนับสนุนด้านวิชาการและไม่ให้สนใจด้านนี้นัก เพราะมีเพียงหน่วยงานส่วนราชการเล็กๆ ในกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น [5] ที่มีเจ้าหน้าที่ดูแลเพียง 2-3 คนแต่ดูแลเรื่องการศึกษานี้ให้ รร.เทศบาลกว่า 500 แห่ง หาก อปท.เองไม่เข้มแข็งจริง ก็จะบริหารโรงเรียนไปได้อย่างยุ่งยากลำบาก อันเป็นผลให้การพัฒนาการด้านต่างๆ ของครูท้องถิ่นยากและล่าช้า ด้วยติดขัดที่ต้องรอระเบียบกฎหมายต่างๆ ที่ต้องหยิบมาจากกระทรวงศึกษาธิการโดยการแก้ไขให้สอดคล้องกับระเบียบของท้องถิ่น เป็นอาทิ มีเรื่องเล่าเชื่อไหมว่าครูเทศบาลยังประเมินอาจารย์ 3 แบบเดิมอยู่เลย หากผ่านการประเมินแล้วถือว่าน่ากลัวมาก

(6) ผู้บริหารท้องถิ่นอาจหวังการสร้างชื่อเสียงจากรร.มัธยมศึกษาอาทิ การมุ่งเน้นงานแสดง การประกวด การหาเสียงมากกว่างานวิชาการหรือผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา

(7) รร. มัธยมศึกษาสามารถออกใบเสร็จบริจาคเงินไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ ทำให้ รร. ออกหนังสือรับรองการบริจาคเงินที่ตรวจสอบได้ยากที่ไม่ตรงข้อเท็จจริงแก่บุคคลเพื่อนำไปใช้ในการลดหย่อนภาษีดังกล่าว โดยเฉพาะในวงเงินที่มากแก่นักการเมืองหรืออื่นใด

(8) วงจรอุบาทว์ของการศึกษาท้องถิ่น ที่อาจเหมือน ๆ กับวงการอื่นก็คือ “เรื่องการบริหารงานบุคคล”การเข้าสู่ตำแหน่งของบุคลากรด้านการศึกษาทำให้ “การสรรหา” [6] ได้บุคลากรที่บกพร่องในคุณภาพ ด้อยคุณสมบัติ เพราะอาศัยระบบอุปถัมภ์ เส้นสายเงินทอง ยกตัวอย่างเช่น การเข้ามาเป็นครูลูกจ้างท้องถิ่นให้ครบสามปี เพื่อรอสอบบรรจุกรณีพิเศษ การฝากชื่อฝึกสอนที่ไม่ได้สอนจริง การซื้อขายตำแหน่งเพื่อได้รับการบรรจุ รวมถึงการโอนย้ายการคัดเสือกผู้บริหารสถานศึกษา การแสวงประโยชน์ทั้งทางตรงทางอ้อมในกระบวนการสรรหา รวมทั้งจากกรรมการสอบคัดเลือก เป็นต้น

อนึ่ง บุคลากรทางการศึกษาท่านหนึ่งมีข้อสังเกตสภาพปัญหาการบริหารงานภายใน รร. มัธยมศึกษาดังนี้

(1) เรื่องการทำงานของครูอัตราจ้างบางแห่งถือว่าครูอัตราจ้างทำงานน้อย ขาดการเห็นคุณค่าในการประเมินต่อสัญญาจ้าง เพราะหากเปรียบเทียบลักษณะการทำงานกับครูอัตราจ้างทางภาคใต้จะมีลักษณะการทำงานหนักมากกว่าเพื่อให้ได้ต่อสัญญาจ้าง

(2) ความเคร่งครัดในเวลาการทำงานของครูควรมีแผนรองรับการมาทำงานของครูในตอนเช้ามาสาย (หลัง 8.00 น.) เป็นในทุก ๆ เช้าโดยเฉพาะเช้าวันจันทร์ และเย็นวันศุกร์ เพื่อมิให้มาสายกลับก่อนของครูที่มิได้พักอาศัยอยู่ในท้องที่

(3) ความบกพร่องในการอยู่เวรรักษาการณ์ทั้งกลางวันและกลางคืน อาทิ มาช้า หาย ไม่มาอยู่เวร

(4) ครูเสพสุรา เมาในเวลาราชการ ทำให้ไม่สามารถสอนนักเรียนได้ ให้แต่งานกับแบบฝึกหัด

(5) การสอนแก้ในรายวิชาโดยใช้วิธีต่างตอบแทนแลกผลการเรียน แบบที่เรียกว่า “เรียนจบมาเพราะเอาไก่แลกมา” อาทิ ให้ซื้อของมาแก้ เช่น ไก่ โต๊ะ เก้าอี้นั่ง เมล็ดผักหวาน และหรืออื่นใด

(6) การขาดความสามัคคีของคณะครูในโรงเรียน ด้วยต่างฝ่ายต่างมีลูกพี่จากระบบอุปถัมภ์ ยึดมั่นถือมั่นในตนเอง ทำให้เกิดความแตกแยก มีผลกระทบต่อบุคคลากรที่ตั้งใจทำงาน ทำให้ทำงานลำบากขาดขวัญกำลังใจ

(7) มีวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ได้มุ่งหวังที่นักเรียน แต่เพื่อประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก

(8) กลุ่มนักเรียนบ้านนอกต่างไม่ค่อยสนใจการเรียน มุ่งเรียนเพื่อขอแค่จบการศึกษาเมื่อจบการศึกษาแล้วก็ไปรับจ้างเป็นสาวโรงงาน ทำงานรับจ้าง ทำให้มีความสนใจในการเรียนต่ำมาก

(9) ปัญหากลุ่มนักเรียนชั้น ม.1-3 ที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ (รวมถึงอ่านเขียนไม่คล่องด้วย) มีอัตราที่สูง ทำให้ครูยากแก่การสอน

(10) มีบ้านพักครู ไม่เหมาะสม ทั้งสภาพ หรือ ทำเลที่พัก มีสภาพที่ไม่น่าอยู่ อาทิ ทั้งเก่า ทั้งพัง ทั้งทรุดโทรม แต่ครูก็จำเป็นต้องพัก

ในวาระแห่งชาติของการ “ปฏิรูปการศึกษาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560” ปัจจุบัน นี่เป็นอีกสภาพปัญหาหนึ่งของโรงเรียนมัธยมศึกษา อปท. แม้มิใช่ในทุกโรงเรียน แต่ก็เป็นสภาพที่เกิดขึ้นได้ และเกิดขึ้นจริงมาแล้ว ปัญหาเหล่านี้ อาจมีผลต่อการจัดตั้ง รร.มัธยมศึกษา รวมถึงการถ่าย “โอนสังกัดของ รร.มัธยมศึกษา อปท.” ในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะเมื่อหลายปีก่อน มีปรากฏการณ์ว่า ครู รร.มัธยมศึกษาทั้งหลายต่างพากันขอโอนย้ายไปสังกัดสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แต่เพียงไม่ทันไร ครูเป็นจำนวนมากต่างยินดีและเต็มใจที่จะโอนย้ายสังกัดกลับคืนมาอยู่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) กันเกือบหมด นอกจากนี้ บุคคลากรครู อปท. ยังเป็นสิ่งที่หอมหวนในฐานเสียงของบรรดาเหล่านักการเมืองท้องถิ่น และ นักการเมืองระดับชาติอยู่ เพราะเป็นผู้กุมฐานเสียงสำคัญและเป็นหัวคะแนนให้

ขอต่อตอนต่อไป



[1]Phachern Thammasarangkoon & Manop Ngamta & Nut Saijunteuk, Municipality Officer ทีมวิชาการสมาคมพนักงานเทศบาลแห่งประเทศไทย, หนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ปีที่ 64 ฉบับที่ 40 วันศุกร์ที่ 16 – วันพฤหัสบดีที่ 22มิถุนายน 2560, หน้า 66

[2]พระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไข (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553, https://www.mwit.ac.th/~person/01-Statutes/NationalEducation.pdf

มาตรา 41 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสิทธิจัดการศึกษาในระดับใดระดับหนึ่งหรือทุกระดับตามความพร้อม ความเหมาะสมและความต้องการภายในท้องถิ่น

มาตรา 58 ให้มีการระดมทรัพยากรและการลงทุนด้านงบประมาณ การเงิน และทรัพย์สินทั้งจากรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชนเอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ สถาบันสังคมอื่น และต่างประเทศมาใช้จัดการศึกษาดังนี้

(1) ให้รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา โดยอาจจัดเก็บภาษี เพื่อการศึกษาได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด

(2) ให้บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น ระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา โดยเป็นผู้จัดและมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา บริจาคทรัพย์สินและทรัพยากรอื่นให้แก่สถานศึกษา และมีส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษาตามความเหมาะสมและความจำเป็น

ทั้งนี้ให้รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งเสริมและให้แรงจูงใจในการระดมทรัพยากรดังกล่าว โดยการสนับสนุน การอุดหนุนและใช้มาตรการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษี ตามความเหมาะสมและความจำเป็น ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด

[3]ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กำหนดสาระการเรียนรู้เป็น 8 กลุ่ม ซึ่งสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่มนี้ประกอบด้วยองค์ความรู้ ทักษะหรือกระบวนการเรียนรู้ และคุณลักษณะหรือค่านิยม คุณธรรม จริยธรรมของผู้เรียน ซึ่งสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่มนี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียนรู้ มีดังนี้ (1) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย (2) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (3) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (4) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (5) กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา (6) กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (7) กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (8) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ

[4]หนังสือกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ที่ มท 0893.3/ว 2874 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2555 เรื่อง การจัดตั้ง การรวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และการขยายชั้นเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, http://www.dla.go.th/upload/callcenter/type1/2015/...

ดู ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการขยายชั้นเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2553 ข้อ 6(2)

& หลักเกณฑ์การพิจารณาโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา, สพป.กาญจนบุรี เขต 1, http://kan1.go.th/st54-500.1.doc

ดู โรงเรียนขยายโอกาส คือโรงเรียนระดับประถมศึกษา แต่เปิดสอนถึงระดับมัธยมศึกษาด้วย โดยส่วนมากจะเปิดถึง ม.3

ใน โรงเรียนขยายโอกาสคืออะไรครับ, 31 มีนาคม 2559, https://pantip.com/topic/34981294 & ร.ร. ขยายโอกาสทางการศึกษา ให้โอกาสหรือพลาดโอกาส, 10 เมษายน 2558, http://bangkok-today.com/web/ร-ร-ขยายโอกาสทางการศึ...

[5]กองส่งเสริมและพัฒนาการจัดการศึกษาท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ดู https://th.wikipedia.org/wiki/กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น

[6]การสรรหาบุคคลเข้ารับราชการในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ใช้วิธีการสอบแข่งขันหรือการคัดเลือก โดยดำเนินการในรูปคณะกรรมการและคำนึงถึงความเป็นธรรมและความเสมอภาค ในโอกาสแก่บุคคลที่มีสิทธิอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้ได้ผู้ที่มีความรู้เหมาะสมกับตำแหน่งตามวัตถุประสงค์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

หมายเลขบันทึก: 629760เขียนเมื่อ 14 มิถุนายน 2017 13:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2017 14:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท