ปักกิ่ง ฮาร์บิน ช่วงปีใหม่ ไปกันเองได้ ไม่ยาก : day 4 ฮาร์บิน


ต่อจากตอนก่อนหน้า หลังจากกลับ มาจากสนามกีฬารังนกแล้ว พวกเราต่างก็รีบกลับไปโรงแรมเพื่อทำการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เนื่องจากวันนี้เราต้องนอนบนรถไฟ ซึ่งที่โรงแรม ไม่ได้สะดวกสบายมากนักในการอาบน้ำในห้องอาบน้ำรวม แต่ก็พอไหว หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสร็จแล้ว เราก็ออกเดินทางจากโรงแรมไปยังสถานีรถไฟปักกิ่ง

เราไปฮาร์บินกันคืนวันที่ 28 ธค. 60 คือต้องไปให้ถึงสถานีรถไฟปักกิ่งก่อน ไปโดยรถไฟใต้ดินนี่แหละ เปลี่ยนสถานีไปมา ก็มาโผล่ที่นี่เลย ปัญหาคือ ตอนแรกเราไม่รู้ว่าจะเอาใบจองที่เราจองผ่าน knowchinese ไปแลกตั๋วที่ไหน ก็เลยเดินงงไปมา แนะนำให้เผื่อเวลาไว้เยอะหน่อยนะคะ เราไปถึงล่วงหน้าประมาณ 2 ชั่วโมง ตอนแรกจะมาไวกว่านี้ก็มัวแต่ถ่ายรูปกับสนามกีฬารังนกที่เค้าเพิงจะเปิดไฟ ทำให้ช้าไปเล็กน้อย แถมยังมีแจ็คพ็อตเกิดคือ คือ เราปวดข้อเท้ามาก มากจนเดินเซ ทีนี้พอต้องเดินกลับไปกลับมาและลากกระเป๋าขนาดใหญ่ไปด้วย ก็ยิ่งโหลดข้อเท้า พอเราแจ้งพรรคพวกว่าเราปวดข้อเท้า เดินไม่ไหว เจ้าลูกชายก็ตกใจ ปรี่เข้ามาช่วยลากกระเป๋าด้วยความเป็นห่วง บอกว่า แม่ไม่ต้อง แม่ไม่ต้อง เดี๋ยวเค้าจะทำเอง...

ทีนี้พอไปถึงไม่รู้ว่าจะไปแลกตั๋วตรงไหน เจ้าลูกชายก็เลยไปตรง information ถามจนท. ซึ่งเค้าสามารถพูดภาษาอังกฤษได้เล็กน้อย บอกให้พวกเราเดินไปแลกตั๋วที่ห้องตั๋วก่อน ก็เลยไปกัน ในนั้น มีช่องให้เข้าเยอะมากเกือบๆ 30 ช่อง แต่มีป้ายบอกว่า ช่องหมายเลข 16 สามารถให้บริการเป็นภาษาอังกฤษได้ ก็จัดไปเลย ต่อแถวช่อง 16 ซึ่งขณะต่อแถวก็มีอาม่าอาอี้ พยายามที่จะแซงคิว เราก็ไม่ยอม สะกิดเลย ทำหน้าโหดแล้วก็บอกว่า ไปต่อแถวนะคะ (ภาษาไทย) เค้าก็ทำหน้างง แต่ก็ยอมไปต่อข้างหลังแต่โดยดี ที่ช่องตั๋วช่อง 16 พนักงานก็ทำการออกตั๋วรถไฟให้เรา โดยจะต้องยื่นพาสปอร์ตให้เค้าด้วย ตั๋วรถไฟเป็นการ์ดแข็งอันเล็กๆ เราก็รีบโกยออกมาจากช่องคืนตั๋ว พร้อมพาสปอร์ต แล้วก็ออกมาเพื่อหาทางเข้าไปยังสถานี


ทางเข้าสถานีหายากมาก หายากสุดๆ เลย ขอบอก ถามใครก็ไม่พูดภาษาอังกฤษกัน คือยากอยู่ กว่าจะหาเจอเสียอารมณ์ไปเล็กน้อย เพราะว่ามันเป็นช่องเล็กๆ มี จนท ประจำอยู่คนเดียว ต้องเข้าแถวเรียง 1 ให้เข้าตรวจตั๋วที่เป็นการ์ดแข็งที่เพิ่งไปแลกมา กับพาสปอร์ต ทีละคน เสร็จแล้วก็ต้องสแกนข้าวของก่อนเข้าไปยังสถานี ที่นี่ตรวจกระเป๋าเข้มมาก ตรวจแล้วตรวจอีก กระเป๋านี่ต้องแสกนทุกครั้งที่เข้าห้องใดห้องหนึ่ง โดยเฉพาะห้องที่จะเข้าไปในสถานี นอกจากสแกนกระเป๋าเดินทาง กระเป๋าเป้แล้ว ยังถูกตรวจตัว โดย จนท หญิง คือลูบทุกสิ่งอย่าง จนเค้าพอใจว่า เราไม่ได้มีของอันตรายเข้าไปกับตัวด้วย ป้ายต่างๆ เป็นภาษาจีน เริดมาก อ่านไม่ออกเลย ต้องถ่ายรูปแล้วไปถาม จนท ที่ยืนตามจุดต่างๆ ว่าอันนี้ไปทางไหนกว่าจะเจอว่าต้องไปรอที่ไหน เล่นเอาเหงื่อซึมจนด่านสุดท้ายเขาเอาพวกเราเข้าไปยังห้องที่รอรถไฟมา พร้อมกับล็อคประตูทางที่เข้ามาด้วย คือ ออกได้อย่างเดียวนะเพ่ กลับทางเดิมไม่ได้นะ

มหาชนคนจีน รอเดินทางไปด้วยรถไฟ คับคั่ง หนาแน่น บอกเลย

สักพักพอรถไฟมา คนก็ทะยอยเดินออกไปกัน เราก็เลยเอาตั๋วเราถามอาม่าข้างๆ ว่าอันนี้ไปคันนี้ไหม อาม่าพยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับโชว์ตั๋วของตัวเองให้ดูว่าเป็นเที่ยวเดียวกัน ก็โล่งใจค่ะ เดินไปหารถที่เราจะนอนกันเลย ตรงเวลามากๆ รถไฟเมืองจีน

ยังค่ะ ยังมีอีก พอหารถเจอละก็ขึ้นไปยังโบกี้และห้องที่ระบุไว้บนตั๋ว คือเค้าจะระบุเป็นเลข และจะมีตำแหน่งว่าอยู่เตียงบนหรือล่างตรงหน้าห้อง เรา 3 คน พร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 3 ใบ ก็ไปยังห้องที่เราจองไว้พอเข้าไปก็เจออากงกับอาม่า นั่งด้วยกันอยู่ยังเตียงล่าง 1 ตำแหน่ง เราก็อึ้ง แล้วพวกตรูจะเข้าไปยังไงกันนิ ก็พยายามจะพูดกับเค้าเป็นภาษาอังกฤษ เค้าก็ตอบกลับมาเป็นภาษาจีน ไม่รู้ว่าฟังรู้เรื่องได้ไง แต่ประมาณว่า เค้ามา 2 คน อาม่าต้องนอนอีกห้องนึง อยากจะขอแลกให้อาม่านอนห้องนี้ได้หรือไม่ คิดว่าประมาณนี้นะ เราก็บอกว่า เราก็มาด้วยกัน 3 คนเป็นครอบครัว ไม่สามารถแยกจากกันได้ ตอบไปเป็นภาษาอังกฤษ ไม่รู้ว่าเค้าเข้าใจไหม แต่ก็ไม่มีใครย้ายให้ เค้าก็ทำท่าไม่พอใจ แล้วก็ชี้โบ้เบ้พูดเป็นภาษาจีนว่า กระเป๋าเนี่ยมันวางข้างบนได้นะ ถ้าเอาไว้ตรงนี้แล้วเค้าจะเดินยังไง ก็ไม่รู้ว่าฟังรู้เรื่องได้ไงฟะเหมือนกัน แต่ก็พยายามช่วยกันยกกระเป๋าไปไว้ชั้นบน แต่มีกระเป๋าใบนึงที่ใหญ่เกิน ไม่สามารถวางข้างบนได้ ก็เลยขอวางไว้ข้างล่าง อากงก็เหมือนจะค้อนนิดๆ

บนรถไฟจะมีที่ชาร์ตแบตด้านนอกให้ จุดต่อ 1 คัน และมีเก้าอี้เล็กๆ ให้สามารถไปนั่งนอกห้องได้แต่ก็จะแคบๆ หน่อย ต้องไปจับจองชาร์ทกันเอง ของพวกเราเตรียม power bank ไว้เรียบร้อยก็ใช้ไปก่อน ห้องน้ำบนรถก็พอไหว กลิ่นจะอลังการหน่อย แต่พวกเราปรับตัวกันมาจากปักกิ่งแล้วสามารถอยู่ แปรงฟันล้างหน้าในห้องน้ำได้ จากนั้นก็มาเตรียมนอน เรานอนเตียงบน 2 เตียง เตียงล่าง 1 เตียง ซึ่งอากงเตียงล่างก็ปูเตียงนอนไปก่อนพวกเราแล้ว สักพักพนักงานก็จะมาตรวจตั๋ว และเปลี่ยนตั๋วกระดาษสีขาว เป็นตั๋วทองคำแบบนี้คืนมาให้เรา ก็เก็บไว้ แล้วก็เริ่มนอน

สักพักเสียงกรนเริ่มมา ว่าแล้วว่าอากงจะต้องกรนแน่นอน แล้วก็กรนจริงๆ ด้วย อยากจะกรี๊ดมาก คือนอนไม่ได้เลย พยายามเอาผ้าอุดหูเอา ฮือ ฮือ หลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน แนะนำให้เตรียมที่อุดหูไปด้วยถ้าต้องนอนร่วมห้องกับคนไม่รู้จัก

หลับไปตามอัตภาพ เท่าที่ได้ พอใกล้ถึงก็สว่างละ เห็นสองข้างทางขาวโพลนไปด้วยหิมะ ก็เลยปีนลงมาล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า สักพักพนักงานก็จะมาตรวจตั๋วอีกรอบ เอาตั๋วทองคำคืนไป แล้วคืนตั๋วกระดาษของเรากลับมาอีกครั้ง จากเปลี่ยนตั๋วก็จะมาเก็บขยะ บนรถไฟจะมีรองเท้าใส่บนรถให้ แต่บางมากขอบอก ดีกว่าไม่มีใช้ค่ะ

เช้าแล้ว เด็กชายก็ไปนั่งดูวิวนอกห้อง (ภาพถ่ายจากเตียงบน)

รถไฟจอดที่สถานีรถไฟฮาร์บิน อากงกับอาม่าลงไปก่อนเลย พวกเราก็พยายามช่วยกันเอากระเป๋าลงมา แล้วก็ลงรถไฟไปผจญภัยกันต่อ แต่ๆๆ หนาวมากๆ สูดหายใจนอกรถไฟครั้งแรก ไอออกมาทันที คือ อากาศแห้งมาก ไอใหญ่เลย จกหมวกและถุงมือมาใส่เพิ่มทันที จากนั้นเดินตามคนออกไปตามทางออกเพื่อหาทางไปโรงแรม คือตอนแรกไม่รู้ว่าไปเรียกรถตรงไหน เดินไปเดินมาเห็นเค้าเข้าแถวกัน ก็คิดว่า อ้อ แถวรอแท็กซี่แน่เลยก็เลยไปต่อมั่ง แต่รู้สึกแปลกๆ ไม่น่าใช่ แถวรอแท็กซี่ทำไมคนมากันเยอะเวอร์มาก คนเบียดกันจนไม่ต้องเดินแล้ว ไหลไปเรื่อยๆ แทน ก็เลยปรึกษากันแล้วตัดสินใจกลับหลังหันออกมา ปรากฏว่าไปดูดีดีแล้วกลายเป็นแถวขึ้นรถเมล์ เกือบไปละ

ไปเรียกแท็กซี่ เอาใบจองโรงแรมให้ดูว่าจะไปที่นี่ เค้าบอก 100 หยวน เราก็เลยเอาเพราะอ่านมาว่ามีคนจ่ายไป 150 หยวนเพื่อไปโรงแรมเดียวกันนี้ เราพักกันที่ ibis harbin sofia church พอตกลงแท็กซี่บอกให้จ่ายตังก่อนให้เพื่อนเค้าที่มาเก็บ ก็งงสิ แต่ก็อ้ะ จ่ายก็จ่าย จ่าย 100 หยวนให้คนที่มาเก็บตัง จากนั้นเค้าก็ขนของเราขึ้นแท็กซี่ แล้วก็ออกเดินทาง ระหว่างทางคนขับก็พยายามหันมาคุยกะพวกเราเป็นภาษาจีน เราก็บอกว่าไม่ช่ายยยย ไม่ช่ายคนจีน เป็นไท้กั๋ว เค้าก็บอกว่า อ้อๆๆ ไท้กั๋ว แล้วก็หันมาถามซันว่า อายุเท่าไหร่ละ เป็นภาษาจีน คือคิดว่าถามอายุนะ ไม่รู้ฟังออกได้ไง คือคุยกันคนละภาษา งง

เค้าส่งเราที่โบสถ์เซนต์โซเฟีย แล้วก็บอกว่าโรงแรมก็อยู่แถวๆ นี้แหละ อ้าว งงแต่ด้วยความว่าน่าจะอยู่ใกล้ๆ ก็เลยลง และก็มาถ่ายรูปกันก่อนแต่สุดท้ายเราก็เดินต่อไปโรงแรมกันอีกนิดนึง คือไม่ใกล้ไม่ไกลแต่ก็เดินเพิ่มอีกหน่อย โดยอาศัย google map ก็ถึงโรงแรมได้โดยสวัสดิภาพ


เส้นทางการเดิน ต้องผ่านห้างนี้ก่อน จึงจะถึงโรงแรม

เช็คอินได้เลยแม้จะยังเช้าอยู่ โชคดีมาก เราจองห้องสำหรับ 3 คนที่นี่ ราคา 2300 บาทต่อคืนเอาของไปเก็บ พักผ่อนเล็กน้อยกินแฟที่เตรียมไป ขนมรองท้องนิดหน่อยก็ลงมาเดินเที่ยวกันอากาศหนาวมากๆ แต่งตัวกันเต็มที่ สุดๆ มีกี่ชั้นใส่ไปให้หมด จากนั้น เดินไปยังโบสถ์เซนต์โซเฟียก่อนเลย ถ่ายรูปอีกครั้ง ดื่มด่ำความหนาวว่า เรามาถึงกันได้แล้วนะ เรามากันได้แล้วนะ เรามากันเองได้นะ !!!

ทางเดินจากโรงแรมไปยังโบสถ์เซนต์โซเฟีย หลังจากเก็บของเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว

ระหว่างทางก็มีขายของ ช้อปปิ้งด้วยสายตาไปก่อน พวกอุปกรณ์กันหนาว มีวางขายข้างทางให้เลือกซื้อ

บรรยากาศ ระหว่างที่เดินไปโบสถ์เซนต์โซเฟีย

หนาวแค่ไหนก็ลงทุนถอดถุงมือออกเพื่อแตะผนังโบสถ์ เหมือนจะบอกเค้าว่า มาแล้วนะ

เด็กขอซักรูปกะโบสถ์เซนต์โซเฟีย

สักพักก็เริ่มหิวก็เลยฝากท้องไว้กับ Mc donald ใกล้ๆ กับโบสถ์นั้นเอง

อิ่มแล้วก็เดินท่องเมือง จะไปเดินถนนจงหยาง และไปแม่น้ำซงหัว เป็นเป้าหมายของเราวันนี้ ด้วยว่าไม่ได้ print map มา ก็เลยเดินงงกันนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็เจอจนได้ คือ การถามทางในฮาร์บินเป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะเขาไม่เข้าใจภาษาอังกฤษกันเลย แต่ก็ยังมีคนใจดีช่วยพาไป โชคดีจริงๆ นี้เป็นบรรยากาศในเมือง มีชาวไทย 3 คน เดินท่อมๆ กลางเมืองฮาร์บิน

และแล้วก็มาถึงจนได้ ถนนจงหยาง

ถนนจงหยางเป็นเหมือนถนนคนเดินในเมืองสองข้างทางก็จะเป็นร้านขายของต่างๆ และมีน้ำแข็งแกะสลักให้ถ่ายรูปเล่นเดินตั้งแต่หัวถนนก็จะไปสุดปลายที่อนุเสาวรีย์น้ำท่วม บรรยากาศสองข้างถนนนอกจากจะมีร้านขายของแล้ว ก็จะมีการแกะสลักน้ำแข็งให้เป็นรูปต่างๆ สวยงามมาก พวกเราก็เดินเล่นกัน ถ่ายรูปกับน้ำแข็ง สรุปว่า เมืองนี้ ขายน้ำแข็ง!!!

เดินกันไปจนสุดถนน จนถึงอนุสาวรีย์น้ำท่วม อันนี้แหละ

จากนั้นก็เดินลงไปยังแม่น้ำซงหัว แม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว เดินได้สบาย ระวังลื่น

สักพักก็เดินกลับโรงแรมกันเพราะจะต้องไปติดต่อทัวร์คือเราจะซื้อทัวร์ที่โรงแรมเพื่อไปยังงาน Ice and Snow festival ซึ่งมีค่าเข้างานราคา 300 หยวนซึ่งจะเท่ากับค่าทัวร์พอดีโดยทัวร์จะมีรถบัสรับส่งจากโรงแรมไปยังงานพาเข้าไปและมีรถรับกลับมาโรงแรมด้วยซึ่งสะดวกมากสรุปเราก็ซื้อทัวร์ไปกัน เค้านัดไวมาก คือ สีโมงครึ่งเจอกันล็อบบี้เพราะที่ฮาร์บินมืดไวมาก 5 โมงเย็นก็มืดแล้วเราลงมารอทัวร์ตามเวลา

นั่งรถบัสไปถึงงานเกือบๆ ชั่วโมง บนรถก็จะมีไกด์ภาษาจีน ที่จะบรรยายโน่นนี่นั่นให้ฟัง แต่ฟังไม่ออกเลยหงะ พอไปถึง รถบัสก็เข้าไปจอดในที่จอดรถ จากนั้นเค้าก็บอกว่า รถจะจอดที่เดิม และนัดเวลามาขึ้นรถ เราก็ลงตามคณะเดินมาเรื่อยๆ ทัวร์ก็แจกเบอร์โทรให้ติดเสื้อไว้เผื่อติดต่อเค้า จากนั้นค้าส่งเข้างานและให้เวลาอยู่ในงานประมาณ 2 ชั่วโมง นี่เป็นแถวที่จะเดินเข้างาน ตามไกด์ไว้ใกล้ๆ

นี่ถ่ายรูปรถไว้ด้วย กันเหนียว เผื่อหาไม่เจอ

เตรียมพร้อมมาก หัวจรดเท้าเลยทีเดียว

ในงานก็จะมีงานแกะสลักน้ำแข็งเป็นสถานที่สำคัญต่างๆ คือน้ำแข็งล้วนๆ เดินอยู่บนน้ำแข็งตลอดเวลาความหนาวเย็นทะลุทลวงขึ้นมาจากพื้นเดินจนเท้าแข็ง ชมน้ำแข็งจนตัวจะแข็งตามมีของขายในงานเป็นพวกรองเท้า หมวกกันหนาวและของกินพวกผลไม้จุ่มน้ำเชื่อมแข็งๆ เราซื้อกินไม้นึงราคา 20 หยวน อร่อยดีมีให้เด็กเล่นสไลด์เดอร์ด้วยเด็กก็ไปเล่นกันบรรยากาศในงานเป็นแบบนี้ค่ะเดินดูจนทั่วแล้วก็ชวนกันกลับ

สองคนนี้เขาก็จะเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพน้ำแข็ง ส่วนตัวเราเองนั้น ใช้ sumsung galaxy note 5 เป็นกล้องประจำตัว แต่บอกเลยว่า งานนี้ sumsung ชนะขาดลอย แบตกล้องถ่ายรูป แบตไอโฟน เจออุณหภูมิแบบนี้เข้าแป๊บเดียวจะดับไปเลยทั้งๆ ที่แบตยังเหลืออยู่อีกเยอะ แต่ sumsung ยัง alive 555

อากาศทวีความหนาวเย็นมากขึ้น ยิ่งดึกยิ่งหนาว การเดินบนน้ำแข็งเพียงชั่วโมวกว่าๆ นี่ มันช่างทรมานมากมายนัก เหมือนความเย็นมันพุ่งขึ้นมาจกาฝ่าเท้าแม้เราจะใส่ถุงเท้าหลายชั้นแล้วก็ตาม เดินสักพักก็ชวนกันออกมา ทีนี้ก็มีเรื่องตื่นเต้นอีกคือ หารถบัสไม่เจอ!!! เดินวนหาหลายรอบมาก ก็หาไม่เจอ คืออุตส่าห์ถ่ายรูปทะเบียนรถไว้กันเหนียวแล้วดันลืมถ่ายทางไปหารถ และลืมถ่ยภาพสิ่งแวดล้อมข้างๆ รถ ว่า ถ้าจะไปหารถต้องไปทางไหน พลาดจริงๆ สุดท้ายเข้าตาจนเพราะใกล้เวลานัดแล้วก็เลยเดินไปยังรถตำรวจที่จอดอยู่ใกล้ๆ พยายามอธิบายให้ตำรวจฟัง และขอให้เค้าโทรหาไกด์ให้ ตำรวจก็ใจดีค่ะ จัดการโทรหาไกด์ให้จนไกด์เดินมารับพวกเราและพาไปยังรถบัสจนได้แต่ขณะที่รอไกด์มารับนั้น ความหนาวโจมตีแบบสุดๆ จนเด็กบอกว่า แม่ ซันไม่ไหวแล้ว...

ขึ้นรถบัสได้ก็ถอดรองเท้าอันดับแรกคือ คิดว่ารองเท้าซันน่าจะมีปัญหาเพราะมีน้ำเข้าไปได้ถุงเท้าเปียกหมดเลยบ่นปวดเท้าจนเนื้อเขียวพยายามอดทนจนถึงโรงแรมพอถึงโรงแรมได้ก็รีบเข้าห้องและจุ่มเท้าในน้ำอุ่นถึงจะดีขึ้น พอพักผ่อนได้ที่แล้วก็พากันออกไปเที่ยวกันอีก ไปเดินแถวๆ โบสถ์เซนต์โซเฟีย ยามค่ำคืน ได้บรรยากาศมากเลย

ซันซื้อไอติมมากิน อร่อยมาก เราก็ไปซื้อมันเผามากินอร่อยอีก

ภาพนี้ถ่ายจากด้านข้าง สวยงามไม่แพ้กัน

ฝากท้องไว้ที่ Macdonald เช่นเคยสำหรับอาหารเย็นวันนี้ มีคนหมดแรงที่นี่ด้วย

คงจะหมดแรงข้าวต้มจริงๆ ซะแล้ว ซื้อเสร็จก็กลับไปกินที่ห้อง จากนั้นก็พักผ่อนเอาแรง ผจญภัยกันมาเยอะเหลือเกินวันนี้ แต่ก็สนุกแหละน่า จริงไหม พรุ่งนี้จะเที่ยวเล่น เดินชิลล์ๆ ที่เมืองนี้อีกครั้ง ก่อนที่จะกลับไปยังปักกิ่งอีกรอบโดยรถนอนเช่นเคย จะเป็นยังไง มีให้ลุ้นกันอีก คอยติดตามต่อนะ

หมายเลขบันทึก: 628911เขียนเมื่อ 28 พฤษภาคม 2017 21:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 พฤษภาคม 2017 22:25 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท