วันนั้น รถคอกหมูมาถึงคิวรถเดชอุดมก็บ่ายคล้อย สัมภาระของพวกเรามีไม่มาก ฝุ่นรถยังไม่จางดีนักเราก็เดินบนสะพานไม้ข้ามลำโดมใหญ่ แล้วเดินตามถนนดินเส้นทางเดชอุดม-บุณฑริก
“จำทางไปวัดได้ไหม” ทายกวัดวัยกลางคนชวนผมคุย
“จำได้ครับ ราว 2 กิโล ก็เลี้ยวซ้ายไปตามทางเกวียน” ผมตอบอย่างมั่นใจ
ทายกวัดเล่าเรื่องวัดป่าหนองยาวช่วงที่ผมจากมาว่า ชาวบ้านได้สร้างกุฏิให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสแล้ว ไม่ต้องจำวัดที่ศาลา ทำให้ญาติโยมได้ใช้ศาลาวัดนอนถือศีลปฏิบัติธรรมในวันพระมากยิ่งขึ้น ในขณะที่เขาเล่านั้น ฝีเท้าไม่ได้ผ่อนลงเลย แม้ว่าบนไหล่จะมีถุงผ้าสีเหลืองขนาดใหญ่ ภายในมีบาตรที่อัดแน่นไปด้วยเครื่องอัฏฐบริขาร
เราเดินถึงหมู่บ้านเล็กๆ ก่อนที่จะแยกซ้ายไปบ้านหนองยาว ผมเห็นหญิงชราคนหนึ่งและเด็กผู้หญิงอีกคนนั่งคุกเข่าริมถนน พอหลวงปู่เดินไปถึงหญิงชราและเด็กหญิงนั้นก็กราบลงบนพื้น 3 ครั้ง แล้วพูดว่า
“นิมนต์หลวงปู่แวะฉันน้ำก่อนแล้วค่อยเดินต่อ โดยขะน้อย” (โดยขะน้อย แปลว่า เจ้าค่ะ)
หลวงปู่พยักหน้ารับนิมนต์แล้วตามทางเล็กๆ ไปยังบ้านของหญิงชรา
หน้าบ้านหรือจะพูดให้ถูกก็ต้องว่า กระท่อม มีต้นมะม่วงใบหนา ใต้ต้นมะม่วงมีแคร่ไม้ไผ่แข็งแรงนั่งได้ 5-6 คน สบายๆ หญิงชรานิมนต์หลวงปู่นั่งบนแคร่ที่แกปูเสื่อใบเตยไว้แล้ว บนเสื่อยังมีขันทองเหลืองขัดมันวาวใส่น้ำจนเต็ม และมีขันทองเหลืองใบเล็กลอยอยู่ หญิงชราคงเห็นหลวงปู่ตั้งแต่ไกล จึงได้เตรียมจัดไว้เป็นอย่างดี
หลวงปู่ล้วงมือเข้าไปในย่ามที่ท่านสะพายอยู่ หยิบผ้าอาสนะออกมา แล้วปูนั่งที่กลางแคร่ ทายกวัดวางถุงผ้าใหญ่ใกล้ขันทองเหลือง เขาเปิดปากถุงแล้วหยิบธมกรกออกมา
ทายกวัดกรองน้ำในขันทองเหลืองด้วยธมกรก เอาน้ำที่กรองแล้วประเคนหลวงปู่ จากนั้นก็พาผมเดินเลี่ยงไปนั่งบนพื้นห่างออกไป หญิงชราและเด็กหญิงนั่งพับเพียบบนพื้นหน้าแคร่เล็กน้อย
หลวงปู่ฉันน้ำในขันใบเล็กจนหมดแล้วให้พร หญิงชราและเด็กหญิงก้มกราบลงบนพื้นดินอย่างนอบน้อม พอเงยหน้าขึ้นผมสังเกตเห็นเม็ดดินและหญ้าแห้งติดบนหน้าผากของทั้งสองคนบางเบา
หญิงชราเอ่ยปากให้ผมและทายกดื่มน้ำ ผมเดินเข้ามาก้มลงดูน้ำในขันใหญ่ เห็นใสดี
“น้ำตักมาจากบ่อริมโดมใช่ไหม” หลวงปู่ถาม ก่อนที่ผมจะหยิบขันเล็กมาตัก
“โดยขะน้อย” (ใช่ค่ะ) หญิงชราตอบ
“ได้มายากลำบากนะ ดื่มพออิ่มอย่าทำให้หก” หลวงปู่หันมากำชับผม
ผมใช้ขันเล็กตักน้ำขึ้นมาดื่ม น้ำเย็นสดชื่นและรสชาติอร่อยบอกไม่ถูก อยากเอาล้างหน้าแต่นึกขึ้นได้ว่ากว่าจะได้น้ำนี้มา ต้องตื่นแต่เช้าเดินไปลำโดมราว 2 กิโลเมตร หาบน้ำกลับมา ผมก็ตัดใจวางขันลง
ตะวันเรี่ยปลายไม้ เราก็จากกระท่อมนั้น คราวนี้ไม่มีใครพูดต่างก้มหน้าก้มตาเดินเรียงเดี่ยวลัดเลาะไปตามท้องนา ที่มีแต่ตอข้าวแห้ง บางครั้งก็เดินตามทางเกวียน สุดแต่ว่าเส้นไหนจะใกล้
แสงแดดผีตากผ้าอ้อมจับขอบฟ้า ผมก็ได้ยินเสียงกระดิ่งวัว เสียงกะลอควาย เสียงไล่วัวควายเข้าคอก เสียงแม่เรียกลูกกลับเข้าบ้าน และเสียงต่างๆ อีกมากมาย เป็นสัญญาณว่า เรามาถึงบ้านหนองยาวแล้ว
เราเดินลัดเลาะท้ายบ้านไปอีก 1 กิโลเมตร ก็ถึงวัดป่าหนองยาว
ไม่มีความเห็น