นับเนื่องจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์ประเทศไทย สู่ “การเป็นประเทศในโลกที่หนึ่ง (ประเทศที่พัฒนาแล้ว) ภายในปี พ.ศ. 2575” และได้มีการจัดทำวาระพัฒนาที่ 7 : แนวทางปฏิรูปเศรษฐกิจไทยเพื่อเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี พ.ศ. 2575 เสนอรัฐบาล พร้อมๆ กับรายงานวิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์การปฏิรูปประเทศไทยและการปรับเปลี่ยนกลไกภาครัฐ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับแนวทางการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยจากประเทศโลกที่สอง ไปสู่ประเทศในโลกที่หนึ่ง
คณะกรรมาธิการวิสามัญจัดทำวิสัยและออกแบบอนาคตประเทศไทย (ซึ่งมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ เป็นประธานฯ) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (2558) ได้นำเสนอตัวแบบการขับเคลื่อนความมั่งคั่งของประเทศไทย ภายใต้ตัวแบบ “ประเทศไทย 4.0” หรือ “Thailand 4.0” ซึ่งจะเป็นการพัฒนาประเทศให้ก้าวสู่การเป็นประเทศในโลกที่หนึ่ง ปรับเปลี่ยนจากประเทศรายได้ปานกลาง เป็นประเทศรายได้สูง ปรับเปลี่ยนจากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยประสิทธิภาพ เป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ตามรายงานแนวคิดวิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์การปฏิรูปประเทศไทยและการปรับเปลี่ยนกลไกภาครัฐ เสนอต่อนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2558 และมีการนำเสนอเรื่องนี้ในหลายโอกาส นำมาสู่การประกาศเป็นนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยปัจจุบัน ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้บริหารจัดการกลไกสำคัญในการผลักดันประเทศไทย 4.0 เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ Value Based Economy
ต่อมาจึงมีผู้นำแนวคิดประเทศไทย 4.0 นี้ ไปขยายความ เพื่อประยุกต์ใช้ในขอบเขตงานของตนเองเองอย่างกว้างขวาง เช่น อุตสาหกรรม 4.0 เกษตร 4.0 ท่องเที่ยว/บริการ 4.0 แรงงาน 4.0 คนไทย 4.0 จังหวัด 4.0 เป็นต้น รวมทั้งการนำไปบรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564)
ทั้งนี้ ในจดหมายข่าวรัฐบาลเพื่อประชาชน (ปีที่ 2 ฉบับที่ 30, 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2559) ยังได้ระบุถึงทิศทางการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจสู่ประเทศไทย 4.0 ที่เน้นการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนา “โดยที่ภาคการเกษตรยังคงเป็นแกนหลัก แต่จะเปลี่ยนการเกษตรแบบดั้งเดิมไปสู่การเกษตรสมัยใหม่” สร้างเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer) และสนับสนุนให้เกษตรกรเป็นผู้ประกอบการมากขึ้น พร้อมๆ กับการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่รัฐให้ความช่วยเหลือ ไปสู่ SMEs ที่มีศักยภาพสูง การพัฒนาการบริการที่สร้างมูลค่าค่อนข้างต่ำไปสู่การบริการที่สร้างมูลค่าสูง และการพัฒนาแรงงานทักษะต่ำไปสู่แรงงาน
ที่มีทักษะสูง
ที่มา: ดัดแปลงจาก Eco Magazine (2559 : 7) & ที่มา: จดหมายข่าวรัฐบาลเพื่อประชาชน ปีที่ 2 ฉบับที่ 30, 15 กรกฎาคม 2559, หน้า 7.
"ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง : กระบวนทัศน์การพัฒนาสู่ประเทศไทย 4.0"
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ (2559) ได้กล่าวถึง “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง : กระบวนทัศน์การพัฒนาสู่ประเทศไทย 4.0” ไว้ว่า ในอดีตประเทศไทยมุ่งเน้นการสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ (Economic Wealth) เป็นสำคัญ โดยขาดการพัฒนาในมิติอื่นให้มีความสอดคล้องกัน จึงทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบในด้านต่างๆ มากมาย อาทิ ความเหลื่อมล้ำของรายได้และโอกาสที่เพิ่มขึ้น ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมถูกทำลายมากขึ้น
พูดง่ายๆ ก็คือ การพัฒนาดังกล่าว มิเพียงแต่ก่อให้เกิดความไม่สมดุลระหว่าง "มนุษย์" กับ "มนุษย์" ยังก่อให้เกิดความไม่สมดุลระหว่าง "มนุษย์" กับ "ธรรมชาติ" อีกด้วย
ดังนั้น หากพวกเราต้องการก้าวสู่ "ประเทศไทย 4.0" -- ประเทศที่มีความมั่งคั่ง ความมั่นคง และความยั่งยืน จะต้องมีการพัฒนาที่สมดุลใน 4 มิติ อันประกอบด้วย (1) มิติความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ (Economic Wealth) (2) มิติการรักษ์สิ่งแวดล้อม (Environmental Wellness) (3) มิติการมีสังคมที่อยู่ดีมีสุข (Social Well-Beings) และ (4) มิติการเสริมสร้างภูมิปัญญามนุษย์ (Human Wisdom) หรือ "4 Ws Model" นั่นเอง
การพัฒนาที่สมดุลนั้น ตั้งอยู่บนฐานคิดของ "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" หลักการสำคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีอยู่ว่า
ในระดับจุลภาค "การรู้จักเติม รู้จักพอ รู้จักปัน" จะทำให้ประชาชนมีหลักประกันในด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจสังคม สร้างสังคมที่เกื้อกูลและแบ่งปัน ก่อให้เกิดการสร้างเสริมพลังทางสังคม และการสร้างความเป็นปึกแผ่นของคนในสังคมตามมา
ในระดับมหภาค "การรู้จักเติม รู้จักพอ รู้จักปัน" จะทำให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับประเด็นท้าทายในพลวัตโลก เติมเต็มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนการสร้างพลังจากการผนึกกำลังของทุกภาคส่วนผ่านกลไก "ประชารัฐ"
"ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" จึงเป็น "กระบวนทัศน์การพัฒนา" (Developmental Paradigm) ที่จะขับเคลื่อนสู่ "ประเทศไทย 4.0" -- ประเทศในโลกที่หนึ่ง ที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนอย่างแท้จริง
ที่มา: ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์. (2559). https://goo.gl/0ei9qo
บทวิเคราะห์ประเทศไทย 4.0 ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
จากกระบวนทัศน์การพัฒนาสู่ประเทศไทย 4.0 โดยมีปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญานำทาง (Guiding Philosophy) ดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าเป็นกระบวนทัศน์ของการพัฒนาประเทศที่ดำเนินมาในทิศทางที่ถูกต้องเหมาะสม สอดรับกับวาระแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 แห่งสหประชาชาติ อย่างลงตัว สามารถเป็นแบบอย่างให้กับหลายประเทศทั่วโลก เฉพาะอย่างยิ่งประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับบุคคล จนถึงระดับประเทศ หรือแม้กระทั่งในระดับโลก
การน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาประเทศย่อมจะทำให้การพัฒนาเกิดความสมดุล มีความเข้มแข็งจากภายใน แม้ว่าการพัฒนาตามแนวทางนี้จะต้องใช้ความอดทน ความเพียร และระยะเวลาพอสมควร จึงจะเห็นผลสำเร็จได้ เปรียบเสมือนการปลูกต้นไม้ที่เพาะจากเมล็ดย่อมจะมีรากแก้วที่หยั่งลงลึก แม้จะเติบโตช้ากว่าต้นไม้ที่ปลูกจากกระบวนการตอนกิ่ง แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญกับพายุลมแรง หรือภาวะที่แห้งแล้งแล้ว ต้นไม้ที่ได้จากการเพาะเมล็ดย่อมที่จะสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงมากกว่า สอดคล้องกับที่ ศาสตราจารย์ ดร.ณัฏฐพงศ์ ทองภักดี ได้กล่าวไว้ในบทความ เรื่อง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง: ความเป็นมาและความหมาย. วรสารพัฒนบริหารศาสตร์ ปีที่ ๔๗ ฉบับที่ 1/2550 หน้า 30 ว่า “ความพอเพียงเป็นทั้งวิธีการและผล (Means and Ends) จากการกระทำ โดยจะทำให้เกิดวิถีการพัฒนาและผลของการพัฒนาที่สมดุล และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงความสมดุลและความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง หมายถึง ความสมดุลในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม ในขณะเดียวกันความสมดุลของการกระทำทั้งเหตุและผล
จะนำไปสู่ความยั่งยืนของการพัฒนา ภายใต้พลวัตทั้งภายในและภายนอกประเทศ”
การสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป คงไม่สามารถใช้กระบวนทัศน์การพัฒนาแบบเก่าที่มุ่งใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการผลิต การบริโภคเป็นจำนวนมากอีกต่อไปไม่ได้แล้ว หากแต่จะต้องเน้นการพัฒนาที่ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดที่สุด คุ้มค่าที่สุด ไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ประชาชนสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขได้โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรต่างๆ เป็นจำนวนมาก สอดคล้องกับกระแสพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ความสำคัญตอนหนึ่งว่า “...คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย. ถ้าทุกประเทศมีความคิด ‘อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ’ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข. ...”
ดังนั้น นโยบายการพัฒนาประเทศสู่ประเทศไทย 4.0 ด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จึงเป็นกลไกและเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ (New Growth Engine) ที่สำคัญในการพัฒนาประเทศสู่วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ได้อย่างแท้จริง หากทุกภาคส่วนมีการดำเนินการอย่างจริงจัง
ทศพนธ์ นรทัศน์
ประธานชมรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความเท่าเทียมกัน (ICT for All Club)
ไม่มีความเห็น