วันนี้ ๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๙ ผมได้มีโอกาสช่วยจับประเด็น ในกิจกรรม การอบรมเชิงปฏิบัติการ การพัฒนาทักษะการเรียนรู้สู่ศตวรรษที่ ๒๑ (Active Learning) โดยมีคณะคุณครูในโรงเรียนเชียงยืนพิทยาคม เข้าร่วมเรียนรู้ด้วยกัน
ครั้งนี้ได้พูดคุยกับครูเพ็ญศรี ใจกล้า เเละครูได้ตั้งคำถาม ๒ คำถามกับผม (กลายเป็นว่าผมต้องมาคิดต่อเพื่อหาคำตอบที่สมบูรณ์กว่านั้น) โดยคำถามนั้น คือ ๑) ทำไมแต่ละคนถึงจับประเด็นได้ไม่เหมือนกัน เเละ ๒) การจับประเด็นเราต้องมีอะไรในหัวไหม ? ซึ่งทำให้ผมกลับมาคิด เพื่อจะอธิบายคำตอบนั้น ดังนี้
๑) ทำไมแต่ละคนถึงจับประเด็นได้ไม่เหมือนกัน ???
- เพราะมนุษย์เราถูกสั่งสมประสบการณ์หรือการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เเละจิต มาเเตกต่างกัน
- เราทุกคนผ่านการฝึกคิดมาในรูปแบบที่แตกต่างกัน บางคนคิดเก่งในรูปแบบเนื้อหาวิชาเรียน บางคนคิดเก่งในเชิงรูปธรรม หรืบางคนคิดเก่งในรูปแบบกระบวนการ เป็นต้น
- เราทุกคนมีวงจรการคิดที่ซ้ำแตกต่างกันหรืออีกภาษาอาจใช้ว่าคิดหลายชั้น เช่น คิดรอบเเรก คือ จับว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร คิดรอบสอง คือ การนำข้อมูลเหล่านั้นมาจับเป็นประเด็น เเละรอบที่สาม คือ การใช้คำใช้ภาษาเพื่อกระตุ้นความเข้าใจ ซึ่งทั้ง ๓ วงรอบเหล่านี้ ผมมองว่าน่าจะหมุนไปซ้ำๆๆ หมายความว่า ยิ่งเราฝึกคิดมากๆ ก็จะยิ่งหมุนอย่างรวดเร็วเเละซ้ำๆๆๆ มาก ก็อาจเป็นได้
- เราเเต่ละคนอาจมีรูปแบบ(Pattern) การคิดที่เเตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์การจับประเด็นด้วย
๒) การจับประเด็นเราต้องมีอะไรในหัวไหม ???
- ผมใช้คำว่า "ไม่มีก็ดี มีก็ดี" หมายถึง เมื่อเราไม่มความรู้ในด้านนั้นเลย จะทำให้เราเปิดใจ ไม่ติดกรอบ เเต่จุดด้อย คือ เราไม่อาจเชื่อมโยงไปสู่หลักการในเรื่องนั้นๆได้ เเต่เมื่อเรามีความรู้ในเรื่องนั้น จะทำให้เราคล่องเเละสามารถเชื่อมโยงได้ เเต่จุดด้อย คือ เราอาจติดกรอบการคิดแบบเดิมๆ หรือพยายามเอาความคิดตนเองครอบประเด็น นั่นเอง
- ผมมองว่าจำเป็นต้องมี เเต่ให้ทำเหมือนไม่มี หมายความว่า เราจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานในเรื่องนั้นๆมาก่อน เเต่พยายามเปิดใจไม่ติดกรอบอยู่เสมอ "สภาวะแบบนี้ผมมองว่าพอดี"
ธีระวุฒิ ศรีมังคละ
๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๙