ณ งานมหกรรมคุณภาพ ม.มหิดล ปีนี้ ทำให้ผมได้เรียนรู้จากท่านอาจารย์วิจารณ์ พานิช ถึงการขับเคลื่อน KM 1.0 ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการสร้างคลังความรู้ สู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ KM 2.0 แต่ไม่มีระบบการมีเป้าหมายร่วมสร้างสรรค์องค์กรแห่งการเรียนรู้ เกิดการทำ KM เพื่อคะแนนและผลงานแยกส่วนงาน แยกวิชาชีพ และแยกคนทำงานด้วยฐานหัว-ฐานกายมากกว่าฐานใจ ซึ่งควรวางระบบกลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพและคุณค่าแห่งการเรียนรู้ที่เท่าทันคนรุ่นใหม่และเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ที่ปัจจุบันเราเรียกว่า KM 3.0
ระบบกลยุทธ์ข้างต้นคือ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างพอเหมาะเพื่อสร้างเครือข่ายแห่งชุมชนนักปฏิบัติทุกระดับอย่างใกล้ชิดกัน มีผู้เชี่ยวชาญที่เป็นพี่เลี้ยง เกิดมาตรฐานการทำงานร่วมกันข้ามวิชาชีพ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้หลากหลายเครื่องมือและต้นแบบถอดบทเรียนที่ดีงามต่อกันทำให้ลดต้นทุนแห่งการบริหารคน งบประมาณ เวลา และทรัพยากรอื่นๆ โดยเฉพาะเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามธรรมชาติแห่งการเรียนรู้ที่มีจุดตัดสินใจเป็นช่วงๆ ระหว่างผู้บริหาร ผู้ออกแบบโครงการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย [ศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือ Tipping Point] ไม่เน้น Critical Knowledge แต่เน้น Creative Knowledge ที่ควบคู่กับ Change Management
จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างมหาวิทยาลัยต่างๆ (UKM) ครั้งที่ 32 เสมือนครบองค์ประกอบของร่างกาย 32 ประการ ผมจึงขอร้อยเรียงคำสำคัญหลังฟังอย่างลึกซึ้งพร้อมจับประเด็นเป็นแผนที่ด้วยความรู้สึกนึกคิด (Crystal-Based Approach) ร่วมกับเครื่องมือ World Cafe + Five-Slide Inspiration + Logical Levels of Change เน้น WHAT, HOW, & WHY ซึ่งถือเป็นเวทีที่เกิดชุมชนนักปฏิบัติทั้งทางการตามแก่นเรื่องแต่ละครั้งกับทางธรรมชาติตามจริต เครือข่ายวิชาชีพ และหน้าที่การงาน ข้ามสถาบัน และเกิดการพัฒนาคุณภาพของผลผลิตทางการทำงานร่วมกัน...กำลังรอตกผลึกทางปัญญาเพื่อการสื่อสารสร้างสรรค์สาธารณะต่อไป ที่ผมขอเรียกว่า KM 4.0 ที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศไทย 4.0 [Acknowledgement of Citation Youtube.com] และเชิญชวนคิดต่อยอดสู่การพัฒนาโลก ตามเป้าหมายของ UN SDGs อธิบายอย่างย่อดังต่อไปนี้
WHAT: ตัวแทนแต่ละมหาวิทยาลัยได้นำเสนอ Strategic KM & Productivity เกิดการสกัดความรู้ที่เหนือความคาดหวัง ได้แก่
HOW: ทุกมหาวิทยาลัยแลกเปลี่ยนเรียนรู้แยกตามพันธกิจการศึกษา การวิจัย การบริการวิชาการ และการบริหาร ชักชวนระดมความคิดก้าวหน้าแต่ยังไม่มีเวลาและเวทีเชื่อมโยงความรู้เชิงบูรณาการพันธกิจมากนัก แต่ทุกมหาวิทยาลัยมีความพยายามเสนอปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำ Fragmented KM สู่การเกิดปัญญาปฏิบัติในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรตามบริบทส่วนงาน ได้แก่
WHY: แต่ละมหาวิทยาลัยยังพยายามค้นหาจุดเปลี่ยนแปลงทั้งกำลังคน งบประมาณ เครื่องมือ และทรัพยากรต่างๆ เพื่อขับเคลื่อน KM for KM จากการตั้งเป้าหมายระยะสั้นสู่ยาวและยั้งยืน
ผมจึงขอใช้ตัวย่อคำสำคัญ 9 SCs ในการสรุปบทเรียนเพื่อนำกลับไปทบทวนประเมินศักยภาพแห่งตนและส่วนงาน แล้วนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อช่วยเหลือกันและกันมากขึ้น เช่น พัฒนา Good Practice เป็น Best Practice
WHY: เมื่อผมใช้ทักษะการสื่อสารจิตใต้สำนึก (Neuro Linguistic Programming, NLP) อิง Logical Levels of Change กับการเป็นกระบวนกรกลุ่มพลวัติตามหลักกิจกรรมบำบัดจิตสังคมอิงการแปลความรู้ (Knowledge Translation of Psychosocial Occupational Therapy, KT) จึงสรุปได้ว่าในแต่ละมหาวิทยาลัยมีความแตกต่างกันในระดับการใช้ KM ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ SCs ข้อ 1-4 บางที่กำลังพัฒนาเพิ่ม 5-6 แต่ยังไม่ถึง 7-9
ปล. ส่วนรายละเอียดถอดบทเรียนแยกพันธกิจ...ศึกษาเพิ่มเติมจากเครื่องมือ One Note ครับผม
ขอบคุณมากครับและระลึกถึงน้องเพชรน้ำหนึ่งเสมอ ขอส่งกำลังให้น้องและครอบครัวมีความสุขทุกๆวันนะครับ