วันนี้ ได้รับเชิญเชิงขอ ให้ไปช่วยดูว่า ภาพพระราชกรณียกิจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชีนีนาถ เสด็จฯมาปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2510 เป็นจุดไหน อาคารใด หลังทานมื้อกลางวันเสร็จ ก็มุ่งหน้าไปกับพี่ม่อน ประภาพร มณฑาทิพย์ นักจดหมายเหตุชำนาญการ สำนักหอสมุด มข. และไปพบ อาจารย์ขวัญ จากสาขาวิศวกรรมเคมี ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ เพื่อสำรวจภาพพร้อมๆกับสถานที่ เลยได้มีโอกาสเดินรอบๆอาคารวิศวกรรมโยธา และอาคารฝึกปฏิบัติ เสมือนเดินตามรอยพระยุคลบาทที่ ธ เคยเสด็จฯ เพื่อเป็นมิ่งขวัญแก่ชาวมหาวิทยาลัยขอนแก่นเมื่อเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา
ผมและพี่ม่อน เตรียมภาพถ่ายที่มีอยู่ไปเพื่อเทียบเคียงกับอาคารและสถานที่ ที่ล้นเกล้าฯ ทั้ง 2 พระองค์เสด็จฯ และประทับในภาพ ที่สำคัญกว่านั้น ทำให้เราปะติดปะต่อ เรื่องราวได้มากขึ้น ทั้งยังได้เห็นภาพขณะปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่ยังไม่เคยได้เห็น เพราะที่หอจดหมายเหตุไม่มีภาพดังกล่าว แต่มีประดิษฐานไว้ที่อาคารวิศวกรรมโยธา 1 ภาพ (ภาพนี้เคยเห็นเผยแพร่อยู่บ้าง) และอีกภาพประดิษฐานไว้ที่อาคารฝึกปฏิบัติ ซึ่งเป็นภาพขณะเสด็จฯเยี่ยม ภารกิจสำเร็จลุล่วงไปได้ เพียงแต่ยังมีภาพที่ยังค้างคาใจอยู่ 2 ภาพว่าเป็นอาคารหลังใด ....
พี่ม่อนยังพอมีเวลาก่อนไปประชุมร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อวางแผนการจัดนิทรรศการ “ในหลวง กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มข.” ในโอกาสพิธีเปิดอาคาร 50 ปี วิศวะรวมใจในเดือนธันวาคม 59 นี้ จึงได้ร่ำลาอาจารย์ขวัญ แล้วปลีกตัวพากันมาเดินดูรอบๆตึกวิศวกรรมโยธา และตัดสินใจพากันเดินไปดูอาคาร SC01 อาคารเก่าแก่ที่สุดของคณะวิทยาศาสตร์และอักษรศาสตร์ (เดิม) ที่ยังคงเหลือเพียงส่วนหนึ่งคือตึกกลม เดินสำรวจห้องเรียนทั้ง 3 ห้อง อาคารตึกกลมมีลักษณะพิเศษคือ เป็นห้องเรียนที่เป็นสโลป ลึกลงไปข้างล่าง (ใต้ดิน) อาคารดูทรุดโทรมขาดการบูรณะ แต่ยังสามารถใช้การได้ เก้าอี้เรียนยังเป็นของดั้งเดิม คลาสสิคมาก จากนั้น จึงพากันเดินข้ามฟากไปคณะเกษตรศาสตร์ ตั้งใจจะไปดูพื้นที่ที่ล้นเกล้าทั้ง 2 พระองค์ ทรงปลูกกาลพฤกษ์ไว้ 2 ต้น จุดและตำแหน่งตามภาพถ่าย แม้ทั้ง 2 ต้นจะล้มตายจากไป แต่ภาพถ่ายก็ยังคงย้ำเตือนเสมอว่า ต้นไม้ที่พ่อและแม่ทรงปลูก มิได้หายไปไหน หากแต่พระองค์ทรงปลูกไว้ในใจอาณาประชาราษฎร์มานานแสนนาน กาลพฤกษ์ ต้นไม้แห่งกาลเวลาที่ศาสตราจารย์พิมล กลกิจ ได้ทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อให้ล้นเกล้าฯ ทรงปลูกพระราชทานแก่ชาว มข. นั้น ก็ย้ำเตือนเรื่องเวลาได้เป็นอย่างดีว่า เวลาที่เคลื่อนคล้อยไปนั้น มิมีผู้ใดอาจหยุดไว้ได้ เหลือไว้เพียงแต่ความทรงจำหรือความดีงามที่ปฏิบัติไว้.... ดอกหรือต้นกาลพฤกษ์ ก็ร่วงโรย ล้มหายไปตามกาลเวลา
จากนั้น เราจึงเดินขึ้นไปบนตึก AG01 อาคารที่ในหลวงเสด็จ ฯ เพราะพี่ม่อนมีข้อกังขาเรื่องภาพที่สมเด็จพระนางเจ้า ฯ เสด็จ ฯ ว่าอยู่ในตำแหน่งหรืออาคารหลังใด เมื่อเดินสำรวจทั้ง 4 ชั้น ก็น่าจะให้คำตอบได้ว่าไม่ใช่อาคารหลังนี้ พวกเราจึงเดินกลับ..... รูปภาพ จึงเป็น “จดหมายเหตุ” ที่สำคัญอย่างหนึ่งในการบอกเล่าเรื่องราวในอดีตที่ทรงคุณค่า พี่ม่อนเริ่มบ่นว่าเหนื่อยที่เดินไปมาถึง 3 คณะ ผมก็ปวดขาอยู่ด้วยแล้วจากการไปท่องเที่ยวที่ภูกระดึงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
พอตกเย็นย่ำค่ำลง พอมีเวลาว่างอยู่บ้างหลังเสร็จภารกิจ ก็นั่งเขียนบันทึกนี้ ก็คิดขึ้นได้ว่า “เราเดินเพียงไม่กี่ก้าว เรายังเหนื่อย.....พระองค์ท่านเสด็จฯ ไปทุกจังหวัด ในที่ทุรกันดาร ตลอดระยะเวลาที่ทรงงาน พระองค์คงเหนื่อยกว่าหลายเท่า” จึงฉุกคิดได้ว่า “อดทน” ในการทำความดีต่อไปเถอะ แม้จะไม่มีใครมองเห็น แต่ใจเราก็ดีอยู่นั่นเอง
ระหว่างที่จะร่ำลากันที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ พี่ม่อนกรุณามอบหนังสือเล่มเล็ก “ขายหัวเราะ” ฉบับรอยยิ้มของพระราชา ซึ่งผมก็เห็นการแชร์ในโลกออนไลน์บ้างแล้ว เพราะที่รู้สึกดีใจไปกว่านั้นคือเมื่อเปิดเข้าไปในหนังสือ จะเห็นว่ามีพระบรมราโชวาทที่ในหลวงพระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2514 ก็ถือเป็นแรงบันดาลใจอีกเรื่องที่บังเอิญเกิดขึ้นแก่คนทำงาน
ไว้มีโอกาส จะมาเล่าเรื่องราวเล็กๆน้อยๆของลุงภารโรงให้ท่านได้ติดตามกันบ้าง หากสนใจ แต่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด การบันทึกเรื่องราวไว้ ก็อาจจะส่งผลดีอยู่บ้าง แม้ไม่มีใครสนใจอ่าน
สีมอดินแดง
18 พฤศจิกายน 2559
ยอด ถ่ายทอดเป็นตัอักษรได้ดีมากๆค่ะ สุดยอดๆ
ยอด ถ่ายทอดเป็นตัวอักษได้ดีมากๆค่ะ สุดยอดๆ
สมแล้วครับ เหมาะสมแล้วที่คนไทยเราเรียกพระองค์ท่านว่า เทวดาเดินดิน