สำรวจค่ายต้านลมหนาวสานปัญญา(ภูหินร่องกล้า)


เส้นทาง กาลเวลา โอกาส ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ

เหมือนดังว่าอากาศย่อมมีมากกว่าโอกาส


วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ.2559 กลุ่มนิสิตพรรคชาวดินจำนวน 14 คน

ได้นัดกันรวมตัวประชุมร่วมกัน กับอาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อหารือถึงกิจกรรมที่เราจะดำเนินกันต่อไป

โดยมีอาจารย์เฉลิมพล และอาจารย์อภิญญา ได้แนะนำและบอกแนวทางการทำกิจกรรม

หลังจากนั้นก็ให้คุยกันเองว่าเราจะทำกิจกรรมต่อไปแนวทางไหน

ในขณะนั้นเราล้อมวงสนทนาอย่างใจจดใจจ่อ ผมก็เลยเปิดประเด็นขึ้นว่า

"อยากที่จะทำค่ายต้านลมหนาว สานปัญญา ที่ได้เคยพูดไว้ตั้งแต่ยังไม่จดทะเบียนพรรค

โดยจะไปจัดที่ รร.น้องๆเด็กดอยที่ภูหินร่องกล้า"

แน่นอนก็มีกลุ่มคนบางส่วนที่ส่ายหัวคัดค้านต่างๆนาๆ

แต่ไม่รู้ว่าความโชคดีหรืออย่างไร เพื่อนส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า

ควรจะทำค่ายนี้ เพราะ เป็นจุดที่ดึงมวลชนและยังช่วยเหลือน้องๆ

พร้อมยังมีพี่ศิษย์เก่าชาวดิน เป็นครูดอยลูกอีสานอยู่ที่นั่น คือ คุณครูธนกร (ครูเทียน)

แต่ก็ตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะไปสำรวจค่ายก่อน ผลสุดท้ายก็เป็นหน้าที่ของผู้เขียนเอง

และได้นำทีมนายประวิทย์ ทวีวาร น้องพักตร์พิไล และนายสุรชัย ทาระคุณ

แน่นอนการทำงานทุกอย่างต้องมีแปลนงาน แบ่งเป็น 3 หน้าที่ ได้แก่

สำรวจค่าย เตรียมค่าย จัดค่าย ในวันนั้นคุยกันได้อย่างลงตัว

และเห็นสมควรว่าควรจะไปสำรวจค่ายในวันที่ 30-31 ต.ค.

ได้ประสานงานไปทางเจ้าของสถานที่ และได้คำแนะนำจากพี่พนัส

ให้โบกรถไป เพื่อได้รับรู้วิถีชีวิตสองข้างทาง


เช้ามือวันที่ 30 ต.ค. เวลา 05.00 น. พร้อมกันที่หอพระ

กราบพระขอพร ออกเดินทางโดยการเดินเท้า มุ่งหน้าสู่

ตัวจังหวัดขอนแก่น เดินไปเรื่อยๆจนถึงกลางทุ่งนา ฟ้าสางพอดี

เริ่มปฎิบัติการโบกรถ โชคดีอีกแล้วโบกคันแรกก็จอดให้ขึ้น

ไม่รู้บังเอิญหรือย่างไร เจอเจ้าหน้าที่กองกิจการนิสิตมหาวิทยาลัยพอดี

พี่เขาจะไปขอนแก่นก็เลยจอดให้ขึ้น ขับรถเร็วมาก

ถึงขอนแก่นเวลาประมาณแปดโมงเช้า

สอบถามเจ้าหน้าที่ บขส. หารถไปพิษณุโลก

ซื้อตั๋วบริษัททัวร์ อีสาน ราคา 198 บาท 4 ที่นั่ง

รถออกเก้าโมงเช้า ก็เลยเดินไปหาอะไรกินพอรองท้อง

รถออกแล้วก็ผ่านเขตอำเภอเขตจังหวัดต่างๆ

สองข้างทาง หากมองผ่านหน้าต่างของรถทัวร์แล้ว

"วิถีชีวิตสองข้างทางไม่สำคัญน้อยไปกว่าจุดหมายปลายทางเลย

หากจะเล่าและบรรยายคงไม่จบและนอกเรื่อง"

เวลาประมาณ บ่ายโมงถึงอำเภอหล่มสัก โทรหาครูเทียนว่าถึงหล่มสักแล้ว

ครูเทียนบอกว่าให้ถามรถว่าผ่านแยกบ้านแยงไหม ให้ลงที่นั่นแล้วหารถมาที่อำเภอนครไทย

ประมาณเวลา 14.30 น. ลงรถที่แยกบ้านแยง หาอะไรรองท้องเพราะหิว

กินเสร็จปรึกษากันต่อว่าจะเดินโบกรถหรือจะรอรถ แต่ถ้ารอรถมีรถเที่ยว ห้าโมงเย็น

กว่าจะถึงคงจะค่ำแน่ ก็เลยเห็นพ้องต้องกันว่าโบกรถ

เดินไปสักพักปฏิบัติการโบกรถ ก็เจอคนใจดีแต่ไปไม่ถึงนครไทย ไปได้แค่ครึ่งทางบ้ายห้วยเฮี๊ยะ

เราก็ขึ้นรถไปต่อ พอลงได้ขึ้นทางก็โบกรถอีกคัน นับว่าโชคดีเพราะ คนขับรถจะไปอำเภอนครไทยพอดี

ถึงนครไทยแล้วนั่งรอครูเทียนมารับ จิบกาแฟ นั่งคุยกัน


เวลาประมาณ 16.00 น. ครูเทียนมารับที่หน้าอำเภอ จอรถซื้อกับข้าว และยังใจดีซื้อแมลงทอดให้กินระหว่างเดินทาง

นั่งกระบะหลัง ขึ้นอุทยานภูหินร่องกล้า นับว่าหวาดเสียวมาก จนเพื่อนบนรถเวียนหัวกันเกือบทุกคน

6 โมงเย็นถึงจุดหมายปลายทาง พากันประกอบอาหาร พูดคุยสารทุกข์สุกดิบ

บนกระท่อมปลายไร่ รับลมหนาว บอกเล่าความรู้สึก ประสบการณ์

นับได้ว่าคืนนี้ เป็นคืนที่ มีรอยยิ้ม ปนเรื่องเศร้า เค้าความรู้ อยากเชิดชูอุดมการณ์ของชาวดินเลยทีเดียว

ทามกลางสายลมหนาว หมอกหนา ต้องศรัทธาในวามเป็นครูของครูเทียน ครูดอยลูกอีสานจริงๆ

และเข้าใจความเป็นชาวดิน ที่หล่อหลอมคนให้เป็นคนที่มีคุณภาพ พัฒนาชาติบ้านเมืองให้เมืองไทย

ครูเทียนยังเล่าถึงชุมชนบ้านร่องกล้าและความรู้สึกว่า

"คนม้งเขารักในหลวงนะ แต่เขาไม่คนขี้อายไม่เหมือนคนอีสานบ้านเราพี่มาอยู่ทีนี่ก็เพราะพี่เคยมาออกค่าย ที่นี้เมื่อตอนพี่อยู่มมส. พี่จำได้เสมอว่าบัณฑิตที่ดีพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน พี่ให้ความรัก ให้โอกาส มอบรอยยิ้ม แบ่งปันความสุข แก่เด็กๆที่นี่ พี่บอกว่าถ้าไม่ใช่ชาวดินพี่จะไม่มีวันนี้ ตลาดนัดเด็กดอยเป็นความคิดของชาวดิน พี่ดีใจที่เห็นน้องๆมา ไม่มีเงินมาพี่ไม่ว่า แต่พี่อยากให้น้องรักชาวดินและมีความสุข พี่บอกพี่พนัสเลยนะว่า พี่เชื่อมั่นพวกน้อง ยิ่งเห็นแนวคิดและการกระทำพี่ดีใจ และอีกอย่าง พี่มีความสุขที่เห็นแทน ชาวดินร้องเพลง พี่แต่งเพลงไว้นะ พี่จะร้องให้ฟัง ถ้าแทนจะเอาเนื้อเพลงพี่ไปร้องก็ไม่ว่า แต่ห้ามออกจากพรรคชาวดิน "

คุยกันดึกพอสมควร ก็เลยไปส่งเข้าที่พักที่จัดเตรียมไว้

บริเวณทิวเขามองเห็นวิวทิวทัศน์ เมฆ หมอก สายลม สวนกะหล่ำ

ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ที่พักก็มีเครื่องทำน้ำอุ่น แต่เพราะความบ้านนอก หรือหัวไม่ทันสมัยหรืออย่างไร

ไม่มีใครเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นเป็น มารู้ทีหลังว่าจะต้องเปิดวาวแก๊ส จนอาบน้ำเย็นไปหมดทุกคนแล้ว 55555

แต่ก็ได้เจออีก 1 สิ่งในชีวิต คือทากดูดเลือด ดีที่ผู้เขียนนำไฟแชคไป เป็นเรื่องตื่นเต้นเลยทีเดียว


ตื่นเช้ามาไปวัดป่าภูหินร่องกล้า โชว์ฝีมือผัดผักบุ้งถวายจังหันเช้าพ่อแม่ครูบาอาจารย์

เดินสำรวจสถานที่ออกค่าย สวนกะหล่ำ เยี่ยมชุมชน

ดูการเป่าแคนม้ง และบอกกล่าวปูทางเรื่องการจะจัดค่ายต้านลมหนาว สานปัญญา

กับผู้ใหญ่บ้านร่องกล้า และผู้นำชุมชน ร่วมถึงเจ้าหน้าที่อุทยาน

และยืมรถมอเตอร์ไซค์ชาวบ้าน ขึ้นไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ

หนทางที่ยากลำบากจะพิสูจน์ใจและพิสูจน์กาย

ว่าเราพร้อมเพียงไร คนตัวเล็กๆสามารถทำหาประสบการณ์สิ่งใหม่ๆได้

เหมือนการทำอัตชีวประวัติของตัวเองด้วยมือ


ขับรถมอเตอร์ไซค์ ผ่านเส้นทางยากลำบากเพื่อพิชิตภูลมโล ลานหินคอมมิวนิส์ ป่ากะหล่ำปี ผาสวรรค์

แทน ชาวดิน ร้องเพลงกลางป่าหญ้าค้า นับว่าได้บรรยากาศ

เดินทางกลับ ถึง รร.ร่องกล้าวิทยา ต.เนินเพิ่ม อ.นครไทย จ.พิษณุโลก

บันทึกเรื่องราว บริบทชุมชน สอบถามสารทุกข์สุขดิบ คนม้ง

ได้ข้อมูลเพียงพอ ครูเทียนมาฝากส่งขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับมหาสารคาม

กลับทางอุทยานแห่งชาติภูทับเบิก ถึงหล่มสัก

เส้นทางนี้เป็นเส้นทางยากลำบากมาก หลายร้อยพันโค้ง ความสูงชัน

ทำเอาพากันเวียนหัวไปตามกัน ขึ้นรถที่ บขส.หล่มสัก

ต่อรถมาขอนแก่น สารคาม ถึงประมาณ 3 ทุ่มพักผ่อน เพื่อนำเสนอข้อมูลการออกค่าย วันถัดไป

นับว่าคุ้มกับการเดินทาง


"ชีวิตของคนเราเกิดมา ไม่มีอะไรที่มากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามธรรมชาติ

แต่เราปรุงแต่งต่อเติมเสริมรสชาตชีวิต กิจการงานทั้งหลาย

หรือการกระทำทุกสิ่งไม่ว่าดีหรือเลว จะเป็นตัวบอกเองว่าคุณใช้ชีวิตสร้างสรรค์แค่ไหน

สังคมคือการร่วมกันอาศัยอยู่ เราจะอยู่แบบสิ่นหวัง หรือแบ่งปัน

ชีวิตของคนเราแม้มีอะไรที่ต่างกัน แต่เราสามารถแบ่งปัน ให้โอกาส สร้างสสรค์ รอยยิ้ม

ศรัทธาแห่งผองชน เชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ ลงมือทำในสิ่งที่ศรัทธาและเชื่อมั่น

จะพบคำตอบ มากมาย ขอขอบคุณเพื่อนร่วมเดินทาง

ครูเทียนครูดอยลูกอีสาน พี่พนัส ปรีวาสนา และกลุ่มนิสิตพรรคชาวดิน

ที่ให้โอกาสได้แต่งเติมวาดฝันชีวิต"

#กิจกรรมเพื่อส่วนรวมและสังคมที่ดีกว่า














หมายเลขบันทึก: 618601เขียนเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2016 15:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2016 15:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

คนสำรวจค่ายสำคัญมาก เหมือนนักสังเกตการณ์ เหมือนนักปั้น นำเอาข้อมูล หรือต้นทุนจากการสำรวจมาออกแบบเป็นโจทย์การเรียนรู้คู่บริการ และโจทย์นั้นก็หมายถึงความต้องการของชุมชนที่เป็นได้ทั้ง ปัญหา และศักยภาพที่จะต่อยอด

หากคนสำรวจค่าย เป็นทีมเดียวกับคเตรียมค่าย......นั่นคือปัจจัยความสำเร็จเชิงสำเร็จรูปที่เราต้องตระหนัก และอย่าละเลยที่จะมองข้ามสิ่งนี้

คนี่ไปเห็นที่ทางก่อนกลับมานำพาผู้คนไปที่นั่นอีกรอบ โดยเนื้อแท้ อาจมีภพชาติอื่นที่ยึดโยงมาสู่ภพชาตินี้ก็เป็นได้ 5555

บันทึกเรื่องราวได้ดีมากจ้า ละเอียดทุกขั้นตอนเลย ฮา ฮา เก่งมากจ้า ไม่ว่าน้องๆ ชาวดินจะทำกิจกรรมอะไรในเชิงสร้างสรรค์ พี่ๆ ชาวดินก็พร้อมและยินดีสนับสนุนเสมอจ้า ขอเพียงแต่ให้ตั้งใจ คิดดี ทำดี ถึงไม่มีใครเห็นแต่ตัวเราเองก็เห็นนะจ๊ะ...

จำได้ว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยพี่ก็เคยโบกรถกลับจากภูกระดึงครั้งหนึ่ง พอทำงานพี่ก็เคยโบกรถเที่ยวตั้งแต่เหนือจดใต้ แต่สมัยนี้พี่ไม่กล้าโบกแล้ว กลัวเขาไม่รับหรือรับไปส่งบ้านพักคนชราแทน อิอิ ไปไหนมาไหนขอให้ธรรมรักษา เทวดาคุ้มครองน้องๆ ทุกคนนะจ๊ะ ส่วนใหนไม่สำคัญเท่ากับส่วนรวม “อดทน” คำเดียวทำให้เราผ่านทุกสิ่งทุกอย่างไปได้จ้า เป็นกำลังใจให้เสมอ “ศรัทธา เชื่อมั่น”..

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท