เก่า-ใหม่ในศรัทธา 3 กันยายน 2559 คืนเหย้าชาวดิน


"ที่ตรงนี้ไม่มีตึกสูงตระการใหญ่

ไม่มีแสงสีศิวิไลซ์

ที่ตรงนี้เรียบง่าย แต่งดงาม"

พี่พนัส ปรีวาสนา

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน 2559 เป็นวาระโอกาสอันดีที่ได้เห็นการกลับมาอีกครั้ง

ของพี่ๆศิษย์เก่า ที่เคยทำกิจกรรมในพรรคชาวดินในสมัยตั้งแต่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

ยังเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคาม ตั้งแต่ปี 2517-2537 มีการตั้งเป็นมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

ในงานคืนเหย้าชาวดิน พี่ๆทั่วสารทิศมากมายหลายอาชีพ ได้มาพบกันอีกครั้ง

โดยการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากน้องๆศิษย์เก่ายุคปัจจุบัน แต่งานนี้จะขาดบุคคลสำคัญท่านนี้ไปไม่ได้เลย

คือพี่พนัส ปรีวาสนา เป็นบุคคลที่ทำให้ผมได้มามีส่วนร่วมในงานนี้เป็นอย่างมาก


#การเตรียมงานจากศิษย์ปัจจุบัน ก็เริ่มเตรียมงานตอนแรกพวกเราก็คิดว่ากลัวงานจะออกมาไม่ดี

ยังจับต้นชนปลายไม่ได้พอควร แต่พอมานึกถึงพี่ๆศิษย์เก่าอยากกลับมาที่มหาลัย

ทำให้คิดถึงตอนเราอยากกลับบ้านเช่นกัน เมื่อเรากลับบ้านพ่อแม่พี่น้องมักจะเตรียมความอบอุ่น เตรียมความรัก

เตรียมอาหารที่อร่อยที่สุด เตรียมของที่เราชอบ เตรียมสิ่งที่เราเคยทำเสมอๆไว้ จึงสามารถจับประเด็นการจัดงาน

โดยเริ่มจากการรวบรวมภาพเก่าๆตั้งแต่ยุค มศว. มมส. เรียงเป็นลำดับเหตุการณ์ ให้พี่ๆได้ระลึกความทรงจำ

มาทำเป็นบอร์ดในห้อง เตรียมดนตรี เตรียมอาหารพื้นบ้านไว้ เตรียมซุ้มถ่ายรูป

และที่สำคัญเตรียมเวทีพบปะเสวนา ซึ่งแน่นอนกำหนดเวลาไม่อาจจะแน่นอน

ผมขอแทนตัวเองว่าน้องหรืออาจจะเป็นลูกหลานของพี่ๆในยุคนี้

ผมและผองเพื่อนได้ตั้งใจเตรียมงาน แพ็คเสื้อ เตรียมสถานที่ และส่งการ์ดเรียนเชิญพี่ๆต่างๆ

แต่อาจจะไม่ทั่วถึง ผมก็ต้องขออภัยเป็นอย่างมากเลยทีเดียว และได้เตรียมพิธีผูกข้อต่อแขน

มีนางรำเชิญบายศรี นางรำก็ไม่ได้เอามาจากที่ไหนล่ะ ก็จากน้องๆลูกหลานของพี่ๆที่คอยต้อนรับเมื่อตอนกลางวัน

เอาเวลาเตรียมสถานที่เป็นเวลาซ้อมรำ นับว่าทั้งเตรียม ทั้งซ้อม พร้อมกันไปเลย

บรรยากาศเตรียมงานก็อบอุ่นไปมีการร่วมกินข้าวด้วยกัน อาหารของนักกิจกรรมก็ข้าวกล่อง

การล้อมวงสนทนาปรึกษางานเป็นระยะๆจากพี่พนัสและอาจารย์ที่ปรึกษา เป็นบรรยากาศที่อบอุ่นก่อนงานจริง

มีอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์อภิญญา อาจารย์เฉลิมพล อาจารย์อัครา อาจารย์ฐายุกร มาคอยให้คำปรึกษาและให้กำลังใจ


และมีพี่พนัสมานอนเฝ้าคืนวันศุกร์ก่อนจัดงาน แต่ผมก็ต้องขออภัยในคืนวันศุกร์ไม่สามารถอยู่ช่วยงานเพื่อนดึกได้

เพราะบ่ายวันเสาร์ก็มีสอบต้องกลับไปอ่านหนังสือ ทำหน้าที่ของตัวเองก่อน

แต่พอเช้ามาผมตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ที่จริงแล้วตื่นเต้นตั้งแต่เมื่อคืน อ่านหนังสือสอบด้วย คิดเรื่องงานด้วย

จนนอนไม่หลับ เช้าก็รีบมาที่ห้องประชุม และพอใกล้เวลาสอบก็ไปสอบและฝากงานกับเพื่อนๆไว้แล้วกลับมา

ร่วมงานอีกครั้ง เวลา บ่ายสองโมง20 นาที


#วันงานจริง ผมขอตัดช่วงเวลาบ่ายโมงถึงบ่ายสอง 20 นาที เพราะมีภารกิจส่วนตัวไปสอบ

เมื่อผมมาถึงงานช้าไปหน่อย บรรยากาศภายในงานมีพี่ๆศิษย์เก่านั่งเต็มด้านหน้า และกำลังทยอยมา

มีนิสิตที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมมาอยู่ในห้องประชุมด้วย อีกประมาณ 50 คน

ตอนเข้ามาก็เคอะเขิลพอสมควรไม่รู้จะทำอะไร ก็ได้แค่ไปยืนหน้าประตูคอยต้อนรับสวัสดีพี่ๆที่ทยอยมา

พิธีกรได้เชิญพี่ๆรุ่นมฤคมาศ จามรี ภุมริน เสือดาว แนะนำตัว พี่ๆแต่ล่ะคนได้จับไมค์ก็พูดถึงความหลังครั้งอดีตกันนานพอสมควร

แต่ที่แปลกมากๆบรรยากาศในงานไม่มีความน่าเบื่อเลยสักนิดแต่เป็นบรรยากาศที่น่าสนใจและมีความสุขพร้อม

กับร้อยยิ้มและเสียงหัวเรอะ

สิ่งที่จำได้คือ รถบัสมหาวิทยาลัย ที่พาใครต่อใครไปหลายๆที่ และชมวีดีทัศน์ความทรงจำ

พี่ๆบางคนบ่นบางแบบน้อยใจนิดๆที่มีรูปตัวเองในอดีตน้อยกว่าเพื่อน ทางผมก็ขออภัยมา ณ ที่นี้

"เนื่องจากรูปภาพมีมากมายมหาศาล ไม่อาจนำมาเสนอหมดได้

แต่ผมมีความเชื่อว่า ภาพที่อยู่ในจิตสำนึกความทรงจำจะไม่มีใครลบออกได้

จะคงฝั่งไว้ในใจของพี่ๆและของพวกผมที่เกิดทีหลังได้ดูภาพประวัติศาสตร์"

เมื่อการแนะนำตัวจบลง ก็ได้เชิญพี่ๆและเพื่อนนิสิตพักเบรกรับประทานอาหารว่าง

แน่นอนเลยทีเดียว เวลาไม่สามารถเป็นไปตามกำหนดได้ เพราะพี่ๆเพื่อนๆแทบจะไม่ห่วงพักเบรกเท่าไร

แต่จะเดินเข้ามาพูดคุย ถ่ายรูป ถามไถ่สาระทุกข์สุขดิบกัน บางท่านก็กอดกัน ด้วยความรักความคิดถึง

ราวกับพี่น้องไม่ได้พบเจอกันมานานแสนนาน ผมถึงเชื่อคำพูดที่ว่า

"ไม่ใช่ญาติ ก็เหมือนญาติ ขาดกันไม่ได้" เลยทีเดียว

เพื่อนๆผมก็จัดเตรียมสถานที่เอาเก้าอี้จัดไว้เป็นวงกลม เพื่อเป็นเวทีเสวนา

พิธีกรที่เตรียมไว้ก็ถูกยึดหน้าที่จากพี่พนัส พี่พนัสเป็นคนถือไมค์ดำเนินรายการเอง

ได้เรียกพี่ๆและน้องๆรุ่นปัจจุบันมานั่งล้อมวงกัน พี่เจริญได้ขอให้น้องๆแนะนำตัว



แน่นอนคนแรกที่ต้องจับไมค์พูดก็คือผม พี่ๆหลายๆท่านเห็นหน้าผมก็คุ้นๆคนนี่ใช่ไหม

คือคนที่สร้างวาทะกรรมเข้มแข็งในอุดมณ์การณ์ และอ่อนโยนในวิธีการ

ผมได้แนะนำตัว และกล่าวว่า"ตอนแรกเริ่มรู้จักพรรคชาวดินจากพี่พนัสก็เหมือนเป็นบุพเพ แต่พอมาตอนนี้คือชะตากรรม

ที่จะนำพาพรรคชาวดินเดินหน้าในอนาคต ผมเรียนวิศวกรแต่อยากเข้ามาทำกิจกรรม เมื่อเข้ามา ณ ตรงนี้

จึงรู้ว่า ที่ตรงนี้ไม่มีแสงสีศิวิไลซ์ ที่ตรงนี้เรียบง่ายแต่งดงาม เป็นบทประพันธ์ที่พี่พนัสเขียนไว้ ขอบคุณครับ"

ก็เป็นแกนนำว่าเหตุผลที่เข้ามาคือเพื่อนชวนมาและก็เป็นวาทะกรรมกับเพื่อนคนหลังๆ

ที่บอกว่ามาเพราะเพื่อนชวนมา คนที่ 3 ที่ขาดไม่ได้คือเพื่อน โรงเรียนเก่าผมที่โคราช ผู้หญิงที่เต็มไปด้วความรู้และประสบการณ์

นางสาวกาญจนาวัลย์ เธอบอกว่าผมบังคับมา ทุกคนต่างหัวเรอะ 5555 ผมก็ยอมรับว่าบังคับมาครับ

เเต่ตอนนี้ก็เป็นสายเลือดชาวดินและพร้อมจะทำงานกิจกรรมเต็มตัว

และอีกคนนึงคือพิธีกร นายรัตนพล

หนุ่มหล่อเมืองสุรินทร์จากคณะศึกษาศาสตร์ คนนี้เก่งเพราะเป็นนักกิจกรรมเก่า

เขาบอกว่าที่มาทำกิจกรรมเพราะ ชอบและทำกิจกรรมมาตั้งแต่สมัยมัธยม และชาวดินก็เป็นกลุ่มนึงที่เขาสนใจและยินดี

เมื่อแนะนำตัวครบทุกท่าน พี่กุ๋ยก็ได้เล่นเพลงพร้อมดีดกีต้านับว่าเข้ากับบรรยากาศพอสมควร

และพี่ตี๋ก็อาสาเป็นหน้าม้าเปิดวงสนทนาได้พูดเรื่องราวยุคพี่เขา เพราะ ยุคของพี่เขาปี 2530-2534 เป็นยุคเจริญรุ่งเรืองที่สุด

"เพราะได้เป็นเป็นองค์การ 3 สมัยซ้อน ไม่มีพรรคไหนทำได้

จากเรียนสังคมศาสตร์แต่กลายมาเป็นนักกฎหมายทนายความที่ชลบุรี แต่เพราะทำกิจกรรมในวันนั้นจึงทำให้มีในวันนี้

แต่ผมมีทัศนคติไม่ค่อยชอบ ดร.เท่าไร ก็เลยไม่เรียนต่อ ดร. รู้สึกว่าทำงานสบายเกินไป เดินไปเดินมาได้แต่สั่งๆ"

พี่ตี๋เปิดศึกกับพี่ๆดร. เพราะในห้องก็มีพี่ ดร.หลายท่าน แต่ก็พากันหัวเรอะชอบใจ

พี่ตี๋เป็นบุคคลนึงที่พี่ๆให้ความสำคัญ และก็พี่อีกคนที่มาก็ได้ใช้ไมค์พูดต่อไป เล่าเรื่องราวการเปลี่ยนชื่อหลายครั้งเพราะความรัก

ทำเอาคนในวงเสวนาหัวเรอะกันใหญ่ พี่พนัสได้ดำเนินเรื่องไป แม่หน่อยได้จับไมค์เเละบอกว่า

"ศรัทธาเชื่อมั่นในวันนั้นทำให้พี่ๆทุกคนประสบความสำเร็จในวันนี้ และทุกอย่างก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติ

ที่มีรุ่งเรืองและถดถอยไปถึงชาวดินจะหายไป 4-5 ปี แต่ตอนนี้กำลังจะกลับมา พี่เชื่อว่า รุ่นนี้จะเป็นรุ่นที่ชาวดินจะ

เจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง พี่ไม่อยากทำนายแต่ถ้าได้พูดอะไรไว้มักจะเป็นจริงเสมอ"

ทำให้ผมผู้นั่งฟังขนลุกขนพองเลยทีเดียว และก็คิดต่อว่าจะเดินน้าต่อไปอย่างไร

ต่อมาพี่เจริญ ก็จับไมค์และเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิต ว่า

"ในสมัยนั้นไม่มีไวนิลหรืออะไรที่ทันสมัยเหมือนทุกวันนี้ การทำป้ายก็จะติดบอร์ด เขียนผ้า

กันเองสะส่วนใหญ่ บางทีประชุมกันหกโมงเย็นเลิกสองโมงเช้าก็มี เพราะเงินแค่ 50 สตางค์

ที่พี่มาวันนี้อยากให้น้องรู้ว่า พี่ให้ความสำคัญและความห่วงใย เเละพร้อมจะสนับสนุนเสมอ

อยากให้น้องเห็นว่านักกิจกรรมก็ประสบความสำเร็จในวันนี้ และถ้าน้องคิดจะทำอะไรขอให้คิดดังๆ

ให้พี่ๆได้ยินด้วย อะไรที่พอช่วยได้ ยินดีสนับสนุนทุกอย่าง และดีใจที่ได้มางานวันนี้"

และพี่อีกท่านึง ท่านมีปัญหาได้สุขภาพ แต่ก็ทำขนมจีนมาฝากแต่ขอตัวกลับก่อน

ก่อนกลับท่านได้แนะนำวิธีการหาคนเข้าพรรคโดยการบอกต่อๆกันไปขยายเครือข่ายจาก1 เป็น3

เพราะสมัยพี่ก็เข้ามาเพราะพี่ชายชวนมาเหมือนกัน

และไมค์ได้กลับมากับพี่พนัสอีกครั้ง ได้แนะนำอาจารย์แตงอ่อน ซึ่งท่านได้มาร่วมงาน

และตกใจเมื่อเห็นหนังสือเรียนเชิญ ท่านจึงมาร่วมงานด้วยความยินดี

และอีกท่านคือท่านดร.สมชาย แก้ววังชัย ก็มาสังเกตการณ์และแนะนำตัว

บรรยากาศเสวนาก็เป็นเวลา 19.00 น.แล้ว ถ้าเปิดวงต่อไปคงไม่ได้ทานข้าวเป็นแน่

พี่พนัสจึงจะขอสรุป แต่พี่เจริญ และเเม่หน่อย บอกว่าอยากให้น้องสรุป

ผมจึงได้รับหน้าที่ ยังมีการแซวว่าสรุปแบบธรรมะก็ได้ 5555

"ผมดีใจและมีศรัทธาเชื่อมั่นในวันนี้มาก เพราะการเสียสละเป็นสิ่งสำคัญ คือการให้ พระพุทธศาสนาก็คือการให้ การบริจาค

ผมได้แวบคิดถึงคำปลุกใจว่า ประสบการณ์สอนให้รู้ว่านักกิจกรรมมักจะขาดทุนเสมอ แต่ถ้ามีแต่คนที่คิดจะเอา

แล้วใครล่ะ จะยอมเสียสละกิจกรรมเพื่อส่วนรวมและสังคมที่ดีกว่า ศรัทธาเชื่อมั่นครับ"

#บรรยากาศช่วงเย็น พวกผมได้เก็บเก้ากี้และปูเสื่อยาวเเละจัดอาหารเเบบขันโตกพาแลง

อาหารอีสานบ้านๆได้เรียนเชิญแม่หน่อย พี่เจริญมานั่งทานข้าวหน้าเวที และถือโอกาสบริการตักข้าว

ผมอาจจะบริการให้พี่ๆไม่ทั่วถึงก็ถือโอกาสขออภัยมาอีกครั้ง

การทานข้าวเย็นได้มีพี่กุ๋ยขึ้นร้องเพลงสู่ฝัน และเพลงหัวใจสวอย พี่กุ๋ยขึ้นร้องได้ประมาณ 30 นาที จึงขอตัวกลับ เพราะมีงานต่อ

เเละเป็นหน้าที่ของนิสิตปัจจุบันขึ้นร้องเพลงลูกทุ่งอีสานขนานแท้ นำโดย นายประวิทย์ หนุ่มจากขอนแก่น หัวใจชาวดิน

พี่ๆน้องๆทุกท่านได้ร่วมรับประทานอาหารอย่างเป็นกันเอง ภาพบรรยายถึงบรรยากาศที่อบอุ่นมากๆ


และมีผู้แทนจากองค์การนิสิต พรรคพลังสังคม มาขอมอบของที่ระลึกให้

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ก็จัดสถานที่อีกครั้งเพื่อดำเนินกิจกรรมต่อไป

และถ่ายรูปหมู่จากพี่ๆน้องๆทุกรุ่น นับว่าเป็นภาพที่มีความสุข ยากที่จะบรรยาย

และก็มานั่งล้อมวงอีกครั้ง ได้ซ้อมวอร์มเสียงเพลงสู่ฝันและมาร์ชชาวดินก่อนที่จะร้องจริง

"ศักดิ์ศรีชาวดินยิ่งใหญ่ อยู่ได้ด้วยพลังศรัทธา..."

เป็นบรรยากาศที่หาดูได้ยากมากเพราะการร้องเพลงร่วมกันประมาณ 30 ปีที่แล้วกลับมาร้องอีกครั้ง

นับว่ามีความตั้งใจ และเป็นไปด้วยรอยยิ้ม

เมื่อร้องจบ มีการมอบของที่ระลึกจาก อาจารย์ดร.สมชาย แก้ววังชัย

เเละพี่เจริญได้เป็นตัวแทนมอบเงินสนับสนุนการจั้งตั้งกลุ่มนิสิตพรรคชาวดินจำนวนนึง


และต่อจากนี้ไปเป็นพิธีผูกข้อต่อเเขน โดยมีการเชิญบายศรี และมีนางรำเชิญบายศรี

จากน้องๆนิสิตยุคปัจจุบันที่ไม่ใช่เอกนาฏศิลป์แต่มีความตั้งใจซ้อม เพื่อพี่ๆน้องๆ

เมื่อรำเสร็จก็มีการผูกข้อต่อแขน นับว่าเป็นอีกกิจกรรมที่รวบรวมความอบอุ่น ความซาบซึ้ง

ความรัก ความผูกพัน ที่พี่ๆผูกให้น้อง จนด้ายไม่พอที่จะผูกเลยทีเดียว

กิจกรรมผููกข้อต่อแขวนกำลังจะจบลงมีพี่อีกท่านนึงได้เรียกผมไป และผูกข้อมือให้

บอกผมว่า พี่เก็บไว้ให้น้องเส้นนึง เพราะพี่เป็นห่วง เห็นน้องเรียนวิศวะเรียนหนัก

อย่าทิ้งการเรียนนะลูก เรียนเป็นหลักกิจกรรมเป็นรอง

นับว่าเป็นความรักความปรารถนาดีมากๆ

กิจกรรมสุดท้ายก็มาถึง คือการร้องเพลงหมู่พี่ๆน้องๆร่วมล้อมวง

มีการดีดกีต้า และร้องเพลงมาร์ชและเพลงสู่ฝัน และฟังการอ่านบทประพันธ์ถามใจตัวเองจากพี่นกกวี

สุดท้ายจริงๆทุกคนได้ถือไมค์และให้พูดคนล่ะ2-5 คำ

ถ้าใครพูดเกินจะโดนปรับเงิน 1000 บาท ผมจำได้ว่าผมพูดว่าเสียสละ ก็มีหลายๆคำพูด เช่น รักนะ ศรัทธา เชื่อมั่น ทำได้

อบอุ่น รักเธอ เป็นห่วง มั่นคง ความสุข รอยยิ้ม แต่พอมาถึงพี่คนสุดท้าย

ยอมควักเงิน 1000 บาทละ กล่าวว่า

"คิดให้ดัง คิดให้พี่ได้ยิน หากพี่รู้เเละได้ยิน พวกพี่จะส่งกำลังใจ เเรงใจมา"

ก็เป็นที่แน่นอนงานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา งานก็จบลง น้องก็ทยอยส่งพี่กลับที่พัก

ส่วนบรรยากาศ ณ ที่พักเป็นอย่างไรนั้น ผู้เขียนไม่ได้ไปร่วมก็ขอไม่สามารถเล่าได้

#"อยากขอบคุณทุกพลังสร้างความหวังให้ผมและเพื่อนที่ตั้งใจ

หากงานนี้เกิดขอผิดพลาดหรือบกพร่องประการใด ผมก็ขอโอกาสครั้งต่อไป

หวังว่าพี่ๆจะกลับมาอีกครั้ง ในงานหน้าและงานต่อไป ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสำคัญ

ให้ความสนับสนุน ให้ความอนุเคราะห์ ให้ความรัก ให้ความอบอุุ่น

ถึงแม้งานจะจบ แต่ผมเชื่อว่าความทรงจำ ภาพจากจิตใจ ไม่มีวันลบเลือนไปได้

ผมจะทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปจะพาผองเพื่อนสร้างสรรค์ประโยช์แด่ผองชน

จะศรัทธาแน่วแน่ในตนเอง และเชื่อมั่นในผองเพื่อน

ถึงแม้จะลำบากเพียงไร จะฟันฝ่ากล้าท้าทายไปในหนทางชีวิตนักกิจกรรม

ฝากพี่ที่ได้รับสติกเกอร์ช่วยนำไปติดที่รถของพี่ เพื่อเป็นการสร้างฐานเสียงสำคัญ

หากเจอสัญญลักษณ์ที่ใดพี่น้องชาวดินจะได้ทักทายเป็นสายสัมพันธ์ครับ"


จงเป็นดิน ที่แผ่ผืน ในพื้นหล้า
จงหาญท้า กล้าแกร่ง แห่งหนุ่มสาว
จงเป็นดิน เผยอแย้ม ดินแต้มดาว
ส่องสกาว เป็นดาวแห่ง เยาวชน

เป็นชาวดิน อุทิศตน ปลูกต้นกล้า
เพื่อทายท้า ทุรยุค ไปทุกหน
เป็นสายใย แห่งชาวดิน ไม่สิ้นมนต์
ที่ผู้คน คอยท่า ทุกนาที

แด่ชาวดิน ทุกแผ่นดิน ถิ่นที่รัก
ขอชาวดิน จงตระหนัก ในศักดิ์ศรี
สังคมไทย ไร้สุข ทุกข์ทวี
รอเธออยู่ เป็นผู้ที่ ชี้ทิศทาง

เธอต้องกล้า ก้าวไป ในเบื้องหน้า
เธอต้องกล้า ฝ่าฟัน กล้าสรรค์สร้าง
เป็นก้อนดินอุทิศตนสร้างหนทาง
และอยู่อย่างคุณค่าราคาคน

จงเป็นดินให้คนทุกข์ได้ปลูกสร้าง
อุทิศร่างเพื่องานทุกกาลฝน
รองรับทรัพย์ในดินให้คนจน
ผู้ทุกข์ทน มีแผ่นดิน ไว้ทำนา

ถ้าเป็นดิน จงเป็นดิน ถวิลร่าง
เพื่อถมทาง สร้างไทย ให้ก้าวหน้า
เป็นเส้นทาง ให้ย่างเท้า แห่งชาวประชา
เพื่อโลกหล้า หม่นไหม้ ได้เปลี่ยนแปลง

ขอพลังแห่งชาวดินทุกถิ่นทั่ว
จงหลอมตัวตนเองเพื่อเปล่งแสง
ช่วยชี้ทางสว่างชัดจรัสแรง
ทุกหนแห่ง ให้ประชาทั้งสากล

จงยิ่งใหญ่ในทุกถิ่นดินแต้มดาว
จงกล้าก้าวอย่างกล้าแกร่งทุกแห่งหน
จง"ศรัทธา-เชื่อมั่น"ในตัวตน
เพื่อผู้คนส่วนใหญ่ในแผ่นดิน

........สงฆ์ป้า......แต่งให้ 3 ก.ย. 59

.......ณัฐพล.......ผู้เขียน 5 ก.ย. 59

.......ศรัทธา.......เชื่อมั่น.......รักและคิดถึงเสมอ

ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติขาดกันไม่ได้


หมายเลขบันทึก: 613407เขียนเมื่อ 5 กันยายน 2016 14:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 มีนาคม 2017 12:28 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

ขื่นชมการทำงานในแบบมือใหม่ หัวใจใหม่ที่หัดขับ นะครับ
พวกเราใหม่จริงๆ ใหม่ทั้งความคิด ความรู้ ทักษะที่ว่าด้วยการคิดและการบริหารโครงการ แต่การใช้ใจนำพาบนฐานระบบทีม คือสิ่งสำคัญและคิดว่าทุกคนจะเรียนรู้งานจากเวทีนี้


เวทีนี้จำกัดด้วยเวที จึงอาจไม่เห็นมรรคผลใดมากมายตามที่คาดหวัง กระนั้นก็เกริ่นกล่าวบ้างแล้วว่า เวทีนี้เน้นแรงบันดาลใจ ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ คนจะเริ่มมีแรงบันดาลใจบ้างแล้ว



  1. บรรยายได้เห็นภาพ เก็บรายละเอียดได้ดี สมกับเป็นคนรุ่นใหม่ที่จะก้าวไกลพัฒนาต่อไป ขอบคุณน้องๆมากนะคะที่ร่วมมือร่วมใจ เสียสละเวลาจัดงานคืนเหย้าชาวดินในครั้งนี้ มันมีความหมายและถูกบันทึกลงไปในหน้าประวัติศาสตร์ของชาวดินอีกหน้าหนึ่ง
ประจวบ จันทร์หมื่น

เป็นกำลังใจ

ถ้าเราไม่เสรยน้ำตาเราก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าปัญหามันเกิดจากอะไร. และเมื่อเสียน้ำตาแล้วเราจะคิดออกเสมอว่าเราควรจะทำอะไรต่อไป จงทำตัวให้เหมือนกับสายน้ำ(เข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา). ✌?️

ชื่นชมกับหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ ที่มีความตั้งใจทำสิ่งดีดีเพื่อสังคม ขอบคุณเด็กๆที่สร้างงานนี้ขึ้นมา ขอบคุณน้องพนัสที่เป็นแรงผลักดัน ขอบคุณที่ทำให้พวกพี่ๆได้กลับมาบ้านอีกครั้ง ความเป็นชาวดินฝังอยู่ในสายเลือดมิเลือนหาย

ครั้งนี้เรานับหนึ่งเพื่อจะมีสอง สาม...

ศรัทธา และ เชื่อมั่น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท