ถ้าแม่ตาย ..... (12 พ.ค.55)
เมื่อวานขณะอยู่ที่ รพ.กรุงเทพ ธรณ์บอกแม่ว่า
ธรณ์ - แม่ครับ ถ้าแม่ตาย ธรณ์อยากให้แม่ขึ้นสวรรค์นะ
แม่ก็งงๆ ก่อนเล็กน้อย เพราะธรณ์พูดขึ้นมาแบบไม่มีเรื่องอะไรนำมาก่อน แล้วแม่ก็ถามธรณ์ว่า
แม่ – ทำไมล่ะครับ
ธรณ์ – ก็ธรณ์รักแม่ไง ถ้าแม่ตายก็อยากให้ขึ้นสวรรค์ แต่แม่ก็ต้องทำความดีนะครับถึงจะได้ขึ้นสวรรค์
แม่ – อ๋อ ครับ ขอบคุณค่ะลูก (หลวงพ่อธรณ์มาเองเลยนะนี่)
อาจเป็นเพราะทั้งบ้านคุณปู่คุณย่า และคุณตาคุณยายจะให้ความสำคัญกับงานศพ เพราะเป็นงานสุดท้ายของคนนั้นๆ การไปงานศพจึงเป็นเรื่องที่เราจะให้ความสำคัญก่อนงานอื่นๆ
พ่อและแม่มักจะพูดคุยกับธรรศและธรณ์เสมอๆว่า การตาย เป็น “เรื่องปกติ” ทุกคนก็ต้องตาย พ่อแม่ก็ต้องตาย ไม่มีใครที่ไม่ตาย ตั้งแต่ลูกเล็กๆ ถ้ามีงานศพ ก็มักจะพาลูกไปเสมอ ให้ลูกรู้สึกว่างานแบบนี้ก็เป็นงาน “ปกติ” ของสังคมที่ลูกอยู่ ซึ่งลูกก็ควรจะต้องเรียนรู้สังคมรอบตัวด้วย
แม่มักจะสอนลูกในลักษณะ learning by doing ให้ลูกได้สัมผัสด้วยตัวเอง ไม่ใช่การบอกให้จำ หากลูกเข้าใจสิ่งนั้น มันจะอยู่ในจิตวิญญาณของลูกไปเลย และแม่จะบอกลูกชัดเจนว่า ตายคือไม่ได้กลับมาอีก จะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ แต่ถ้าทำดีก็คงไปอยู่ที่ดีๆ ถ้าทำไม่ดีก็ไปอยู่ที่ไม่ดี และการตายไม่ใช่การนอนหลับ ที่จะตื่นมาอีกได้ ตายกับนอนหลับไม่เหมือนกัน
15 เม.ย. 55 วันที่คุณตาเสียชีวิต เป็นวันที่แม่เห็นว่า ทั้งธรรศและธรณ์ก็คงรู้สึกว่าการตายของคุณตาเป็นเรื่องปกติ ลูกจึงปฏิบัติกับคุณตาแบบไม่รู้สึกแตกต่างว่าคนตาย กับคนเป็นต่างกันเช่นไร
ลูกรู้ว่าสภาพ “ทางกายภาพ” ของคุณตาวันนี้ กับคุณตาวันก่อนแตกต่างกัน แต่ “ความรู้สึก” ที่ลูกมีต่อคุณตาในวันนี้ กับวันก่อน ไม่แตกต่างกันเลย เดี๋ยวลูกก็จะขอลองเรียกว่าได้ยินมั้ย ไปขอจับตัวว่าเย็นแค่ไหน ขึ้นไปนอนเล่นบนเตียงข้างๆ คุณตา ช่วยใส่ถุงเท้าให้คุณตา …. ความรู้สึกกลัว “คนตาย” ไม่ปรากฏให้เห็น
วันนี้ลูกพูดว่า ถ้าแม่ตาย .... โดยไม่มีการอุทธรณ์ต่อว่า ไม่อยากให้แม่ตาย ก็เหมือนลูกยอมรับอีกเช่นกันว่าแม่ก็ตายได้ ซึ่งถ้าแม่ตาย ก็คงเป็นเรื่องปกติแบบที่ใครๆ ตายเช่นกัน
ไม่มีความเห็น