VIDEO
ก่อนจะเข้าใจตนเอง เข้าใจประเทศไทย ต้องเข้าใจภาพรวมของโลกก่อน
สิ่ง
ที่เป็นอยู่ในประเทศไทยตอนนี้ เป็นผลพวงของ "ทุน"
ทุนนิยมต่างชาติที่เข้ามาเชื่อม
หรือสัมพันธ์กับประเทศไทยเป็นเนื้อเดียวกันหมดแล้ว
ดังนั้นก่อนจะเข้าใจประเทศไทย เราต้องเข้าใจ "ทุนนิยมเสรี" เสียก่อน
ปี ๒๔๗๕ - ๔๓๒ = 1932 สิ่งที่เกิดขึ้นกับกำแพงเบอร์ลิน ส่งผลมาจนทำให้เศรษฐกิจประเทศไทย "พัง" ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้น
ปัญหา
ของคนไทยตอนนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ คนไทยขาด "ปัญญา"
สิ่งที่คุณสนธิกำลังทำอยู่นี้คือการเสริมปัญญาของคนไทย ...
หัวใจของการแก้ปัญหา
นักปรัชญาที่มีชื่อเสียงชาวอังกฤษ
คือ โอริเวอร์ เจมส์ เสนอหลักคิด ฉันทามติกรุงวอชิงตัน
ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน
แต่ก่อนโลกแบ่งออก
เป็น ๒ ค่าย คือ ค่ายโลกเสรี และอีกค่ายคือ ค่ายหลังม่านเหล็กก็คือรัสเซีย
ต่อมามีจีนเกิดขึ้น เขาเรียก ค่ายหลังม่านสไม้ไผ่
กำแพงเบอร์ลิน
เป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งโลกออกเป็นสองส่วนคือ โลกเสรีและโลกคอมมูนิสท์
ครั้งหนึ่งจอน เอฟ เคนเนดี้ ไปพูดเรื่องโลกเสรีที่เบอร์ลิน
ทำให้กำแพงเบอร์ลินเป็นข่าวดังไปทั่วโลก กลายเป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งโลกในเวลาต่อมา
วิธี
ทางตะวันตก จะริเริ่มจาก "นักคิด" จะเสนอความคิดขึ้นมา ฝ่ายต่างๆ
นักวิชาการ นักข่าว สื่อมวลชน ค่อยเอาหลักคิดเหล่านั้นมาสื่อสาร ถ้าความคิดดี ถ้าใช่ ก็ส่งเสริมกันไป จนกลายมาเป็นทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับ
นักคิดชื่อ แซม มัวร์ พี ฮัตติงตัน บอกว่า การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน คือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งของวัฒนธรรม ระหว่างประเทศมุสลิมกับประเทศที่ไม่ใช่มุสลิม ...ผ่านหนังสือ the crash of civilization
นักคิดอีกคนชื่อ ฟรานซิส ฟูกูยาม่า เขียนหนังสือชื่อ the end of the history จุดจบของประวัติศาสตร์ บอกว่า จากนี้ไปไม่มีโลกคอมมิวนิสท์แล้ว เหลืออยู่โลกเดียวคือ โลกการตลาด ซึ่งเป็นผลพวงจากการค้าเสรีที่เกิดขึ้น
มีนักคิดอีกคนหนึ่งบอกว่า กติกาของโลกใหม่ต้องเป็น "ฉันทามติกรุงวอชิงตัน" ๓ ข้อ ได้แก่ ๑ เงินทุนต้องเดินทางไปทั่วโลกได้ ๒ รัฐบาลต่าง ๆ ต้องไม่มีการต่อต้าน และ ๓ รัฐบาลต่างๆ ต้องมีเสถียรภาพ
ข้อที่ ๒ เช่น กฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ ซึ่งล้อ Washington Consensus
ต่อมาเกิดลัทธิ "เสรีนิยมใหม่" กับ "อนุรักษ์นิยมใหม่" ทะเลาะกันในอเมริกา แต่ทั้งสองก็คือ "ทุนนิยมใหม่" ที่ยึดเอาผลประโยชน์ประเทศเป็นหลัก
ทุนนิยมใหม่ เกิดขึ้นอย่างไร?
เกิดขึ้นเพราะ คนรวยรวมตัวกัน เพราะกำไรตนเองน้อยลง เพื่อใช้กระบวนทัศน์เดียวกันทั่วโลก เช่น ๘๐ ปีที่แล้ว เกิด "สภาหอการค้า" ซึ่งขยายตัวไปทั่วโลก
เมื่อมีเงิน พวกพ่อค้าก็เริ่มหา "อิทธิพล" โดยการซื้อ "อำนาจ" จากการเข้าหานักการเมือง
คนที่พูดเรื่อง "ทุน" คนแรกคือ อดัมสมิท (ในศตวรรษที่ ๑๘) บอกว่า ทุนเป็นของดี หากไม่มีทุนจะพัฒนาได้ยาก ดังนั้นจึงไม่ควรไปต่อต้านเรื่องทุนหรือแทรกแซงจากรัฐ ซึ่งสวนทางกับแนวคิดของระบบกษัตรย์ในขณะนั้น
อังกฤษก็เริ่มพัฒนาระบบทุนนิยมมาเรื่อย ๆ และขยายไปทั่วยุโรปผ่านความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดกษัตริย์ ทำให้เกิดความขัดแย้งกับระบบกษัตริย์ต่าง ๆ ในยุโรป กอปรกับระบบกษัตริย์กำลังเสื่อม ทำให้เกิดสงครามไปทั่ว และก่อเกิด "นายทุนกษัตริย์" ขึ้น
นายทุนกษิตริย์ที่สำคัญคือ บารอน รัดชาวน์ ที่เป็นเจ้าของธนาคารรัดชาวน์ที่เจ้งไปที่สิงคโปร์
ต่อมานักคิดชื่อ จอน เบนาร์ด เคน คิดทฤษฎี "เคนเซี่ยน" ขึ้นมา บอกว่า หากเศรษฐกิจมีปัญหา รัฐต้องเข้าไปลงทุน เพื่อให้เกิดการว่าจ้างงาน ซึ่งถูกเอามาใช้ในยุโรป และขยายไปยังฝั่งอเมริกาด้วย
ข้ามมาเวลามายุคนี้ ทุกคนเล่นหุ้นตามความคิดของ "มิลตัน ฟริตแมน" ประเภทเล่นหุ้นแบบซื้อมาขายไป ซื้อเช้าขายบ่าย ฯลฯ ฟริตแมนบอกว่า ๑) ความสำเร็จของการลงทุน ตัดสินกันที่การเล่นหุ้นระยะสั้น ๒) อะไรที่เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานควรรัฐควรให้เอกชนเข้ามาแข่งขัน เช่น ไฟฟ้า ประปา รถไฟ ๓) การลดละเลิกกฎระเบียบ การให้นายจ้างเป็นกำหนดค่าจ้างได้อย่างเสรี ลดภาษีคนรวย ฟริตแมนจะเชื่อว่า อย่าไปเก็บภาษีคนรวย เพราะคนรวยจะเอากำไรที่ได้มาลงทุนต่อ ๔) การบริโภคและความต้องการของตลาด จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัว
หากดำเนินตามความคิดของฟริตแมน จะทำให้เกิดการ "รวยเป็นประจุก จนกระจาย" ซึ่งไทยก็มาถึงจุดนี้แล้ว
ในขณะที่คนรวยทำแบบ "ฟรติแมน" แต่ "เคนเซี่ยน" ก็ยังอยู่ พวกที่เห็นแก่ตัวแบบฟริตแมน พอได้เข้าไปมีอำนาจรัฐ ...จึงทำให้เกิด "ประชานิยม" นั่นเอง
แต่แทนที่สหภาพต่างๆ จะต่อต้านการขยายตัวของ "ทุนนิยมสามานย์" แต่กลับสร้างอาณาจักรของตนเอง มีผู้นำใช้สินค้าฟุ่มเฟือย และต้องการค่าแรงเพิ่มขึ้นทุกปี ... เรียกว่า สหภาพแรงงานไม่มี "ดุลยภาพ" (Harmony) หรือไม่มี give and take ... สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบคือประชาชน ที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่แพงขึ้น ๆ
นี่คือที่มาของ การล้มสหภาพฯ ของนางมากาเร็ตแท็ตเชอร์ กับ โรนาว แรแกน ร่วมมือกันถล่มสหาภาพ และเอาแนวคิดของฟิริตแมน มาใช้อย่างได้ผล
จึงทำให้เกิด "MBA" ขึ้นทั่วโลก ซึ่งสอนกันว่า ใช้ตัวเลขในการคิดเป็นหลัก ผลกำไรเป็นหลัก ไม่ได้ใช้ประชาชนเป็นหลัก
ประเทศไทยก็สอน MBA กันทั่วประเทศ อย่างบ้าคลั่ง ถือเป็นความบ้าคลั่งทางวิชาการ ทำให้ระบบทุนนิยมขยายตัวไปในประเทศอย่างรวดเร็ว
หลอกลวงว่า ถ้าคนรวย ๆ ขึ้น จะเอาเงินมาลงทุน ให้เกิดการสร้างงาน เกิดรายได้ ... แต่ความจริง เป็นไปในทางตรงข้าม คนรวย ๆ ขึ้น คนชั้นกลางจนลง คนจนจนลง โดยชนชั้นปกครองก็ยัง หลอกลวงประชาชนต่อไป
เพิ่งจะยอมรับกันไปทั่วโลก หลังจาก ๔๐ ปีผ่านไป ว่า ระบบทุนนิยมเสรี คือระบบที่ "ปล้นคนจนไปให้คนรวย"
ยกตัวอย่างเช่น ๔๐ ปีที่แล้ว เราผ่อนบ้านเวลา ๑๕ ปี ผ่อนรถ ๓ ปี แต่วันนี้ ผ่อนบ้าน ๓๐ ปี ผ่อนรถ ๗ ปี ....ต่อไป บ้านอาจต้องผ่อนตลอดชีวิต ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นตลอดเวลา และสาเหตุก็คือ "ทุนนิยมเสรี"
พวกทุนนิยมเสรี แท้จริงแล้วก็ใช้ทฤษฎีการอยู่รอดของ ชาวส์ ดาวิน "คนแข็งแกร่ง เท่านั้นที่จะอยู่รอด" บอกว่า การปกป้องผู้อ่อนแอโดยรัฐ จะนำไปสู่ความพินาศของผู้อ่อนแอ และทำให้ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด
นายทุนใหญ่ ๆ เช่น แอนดรู คาเนกี้ ร็อคกี้ เฟลเลอร์ ฯลฯ นี้จะตั้งมูลนิธิฯ เพื่อให้ทุนการศึกษากับประเทศโลกที่ ๓ เหมือนจะดี แต่ความจริงแล้ว เอาไปหลอมความคิด เอาไปเรียนกติกา เพื่อเอาเงินทุนไปลงทุน ซึ่งผู้ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือทุนใหญ่ ๆ นั่นเอง ... เรียกว่า สิ่งที่ทำคือ Soft Power
(จบม้วนครับ มาจับต่อบันทึกหน้า) ใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมงครึ่ง ครับ