วันก่อนได้ไปเดินที่ ห้างโลตัส ลาดพร้าว เห็นมะยงชิดใส่ถุงขาย บอกสนนราคาแพคละ 199 บาท.
นึกในใจ ก็อาทิตย์ก่อนเพิ่งไป นครนายกมา โลละ 100 บ. ไม่สวย ถ้าสวย 200-300 บ.
(แม่ค้าให้เหตุหลว่าแพง ปีนี้ไม่ติดเพราะแล้งมาก ) ดูๆ แล้วก็ซื้อช่วยมา หลายโล -ชอบอีกส่วนหนึ่ง
เพราะชีวิตวัยเด็ก ก็คลุกคลี ปีนต้นมะปราง -มะยงชิด แอบคุณยาย มากินบนต้น อยู่เป็นเนือง ๆ
ในช่วง เมย. เพราะปิดเทอมก็กลับมาที่สวน ละครับ
นึกภาพ ของสวนคุณน้า ที่ไปเป็นประจำเหมือนบ้าน ทุกปิดเทอม หรือวันหยุด
มีทั้งมะปราง-มะยงชิด กะท้อน ส้มโอ กล้วยหอม บางครั้งก็เพาะเห็ดฟาง ตกเย็นๆ โพล้เพล้ มองเห็นนกกวัก วิ่งระหว่งกอไผ่
นั่นคือส่วนหลังบ้านที่เป็นสวน เลยกอไผ่ก็เป็นแปลงนา ก่อนจะมีลำธาร แล้วเป็นถนนสูง เข้ามาจากจังหวัดผ่านไปตลาดท่าหุบ
ด้านหน้าบ้าน ก็ไม่พ้นสวนมะปรางแต่เป็นต้นโบราณ สูงสักตึก เกือบ 3 ชั้น ไม่ค่อยกล้าปีนไปเก็บนักเพราะสูงกลัวตก
แล้วเป็นท่าน้ำ ชีวิตมีความสนุกมากถ้าได้ยินเสียงเรือลากจูงวิ่งมา ก็เตรียมกันโดดน้ำไปเกาะเชือกเรือโยง
วางข่ายดักปลา วางกระบอกไม้ไผ่ ดักชายตลิ่ง บางวันก็มีเรือปู้น ๆๆ พายมาขายโอเลี้ยง
แต่ที่นาน ๆมาที่แบบวงจรทุนนิยม คือ พ่อค้าข้าว มากับเรือพร้อมข้าวสารสีแล้ว เป็นระบบแลกเปลี่ยนคือ ข้าวเปลือก 1กระสอบ
แลกได้ ข้าวสาร ครึ่งกระสอบ (ผมนึกในใจ เอาไปตั้งครึ่งกระสอบเชียวหรือ ค่าสี รำ ปลายข้าวหายไปไหน ) ตอนนั้นไม่เข้าใจ
แต่หลังจากนั้น ถึงบางอ้อ ว่า "โรงสีข้าวทำไมถึงได้รวยจัง แถมมาไล่ซื้อที่ชาวสวนอีกต่างหาก ..แบบทุนนิยมไล่ล่าจริง ๆ
ชีวิตธรรมชาติแบบนี้หายไปหมดเหลือแต่ความทรงจำ ไม่แน่ใจเพราะความเจริญของเทคโนโลยี หรือ โลกาภิวัฒน์
สวนข้างบ้าน มีขายมะปราง (ไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน )
ณ บ้านวัดท่าช้าง นครนายก มะยงชิด-ชีวิตและธรรมชาติ ที่หายไป แต่ที่น่ากลัวคือ ความแห้งแล้ง เมื่อไม่มีน้ำ
ถอดบทเรียนชีวิต เพราะ เรามักจะพูดกันว่า ทำวิจัยให้เป็นวิถีขีวิต.... วิจัยคือการแสวงหาความจริงของธรรมชาติ
ไม่มีความเห็น