วิจารณ์หนังเรื่องอาบัติ


เมื่อวันเสาร์ (12 ที่ผ่านมา) ผมมีโอกาสได้ดูหนังเรื่องอาบัติ หรือาปัติ (หลังจากที่ได้ถูกตัดไปเรียบร้อยแล้ว) ว่าจะวิจารณ์ตั้งหลายวัน แต่ติดตรงที่ต้องทำเอกสารการสอนพวกที่ตก เลยทำให้ไม่มีเวลา แต่ตอนนี้การทำเอกสารการสอนเสร็จได้ครึ่งหนึ่งแล้ว จึงทำให้พอมีเวลาอยู่บ้าง (555+) มาพูดถึงโครงเรื่องกันเลย ซัน (พี่แน็ค แฟนฉัน) เด็กหนุ่มเกเรวัย 19 ปี ถูกพ่อบังคับให้มาบวชเณรที่วัดต่างจังหวัดอย่างไม่เต็มใจ เพราะขับรถไปชนเด็กหญิงคนหนึ่ง โดยมีหลวงพี่ทิน เป็นเสมือนพระพี่เลี้ยงที่คอยดูแลเขาตั้งแต่วันแรก (แต่แปลกตรงที่พระทินมาในตอนกลางคืน)

ซันไม่อยากสุงสิงกับเณรรูปอื่นด้วยความที่ไม่อยากจะบวช (ครั้งหนึ่งถึงขนาดมีเรื่องกับเณรที่มาอยู่ก่อน) จึงขอพระอาจารย์ ไปจำวัดอยู่กุฎิร้างท้ายวัด ที่นั่นห่างไกลจากผู้คน ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว จะมีก็แต่คนบ้าประจำหมู่บ้าน (พี่สรพงษ์ ชาตรี) ที่แอบมานอนอยู่ใต้ถุนกุฏิและขโมยข้าววัดกิน

ต่อมา ซันได้รู้จักกับ ฝ้าย เด็กสาวชาวบ้านที่อาศัยอยู่กับยาย (น้องน่ารักมากๆ) ทั้งสองตกหลุมรักกัน ซึ่งนำพาพวกเขาไปสู่การพัวพันกับเหตุการณ์ลึกลับที่ถูกปกปิดไว้ภายในวัดมานานนับปี ทั้งเรื่องราวความสัมพันธ์ของสีกาพินกับพระอาจารย์รูปเก่า (ซึ่งหมายถึงสรพงษ์ของเรา) กับพระทิน กับสีกาแม่ของฝ้ายกับพระใบ้ (ซึ่งหมายถึงพระอาจารย์ในปัจจุบัน) รวมไปจนถึงเปรตที่มาขอส่วนบุญด้วย

เรื่องราวที่สลับซับซ้อนก็มีอยู่ว่า พระอาจารย์รูปเก่ากับสีกาพินมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว จนทำให้เกิดเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งตั้งแต่เด็กๆ ก็ร้องไห้ไม่ยอมหยุด จนกระทั่งให้พระสรพงษ์อุ้มจึงหยุดร้อง พร้อมกับอาการเป็นใบ้ตามมาด้วย ไอ้ใบ้เป็นเพื่อนกับทิน ต่อมาทินรู้ความลับระหว่างสีกาพินกับพระอาจารย์เข้า สีกาพินเลยสั่งให้ทินอย่าไปบอกใครๆในหมู่บ้าน ระหว่างนั้นพระสรพงษ์ก็มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับคนอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็คือแม่ของฝ้าย ต่อมาสีกาพินผูกคอตาย พอพระสรพงษ์รู้ความจริงก็ได้แต่ปลงอาบัติ แต่ท่านมีอาบัติปาราชิก เพราะทำผิดกฎถึง 2 ข้อ ก็คือ เสพเมถุนธรรม และต่อมาได้ฆ่าพระทิน เพราะพระทินรู้ความจริงว่าแกยังเสพเมถุนธรรมกับแม่ของฝ้ายอีก ทำให้ขาดจากความเป็นสงฆ์ ต่อมาถูกผีสีกาพินหลอก ก็เลยเป็นบ้า ตอนที่เณรซันเจอ ลุงบ้าคนนี้เอาแต่ปลงอาบัติ ตอนนี้มาพูดถึงไอ้ใบ้ จริงๆแล้วไอ้ใบ้ไม่ได้ใบ้อย่างที่แสดงให้คนอื่นๆเห็น แต่ว่าแกมีฌานรู้อยู่เต็มอกว่าแม่แกสุดท้ายแล้วจะกลายเป็นเปรต ก็เลยเอาแต่ร้องไห้ ไม่ยอมหยุด

แก่นของเรื่องไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำผิดวินัยของพระสงฆ์ แต่ที่ผมสนใจก็คือ ความคิดของฝ้าย กับพระซัน ความคิดของฝ้ายนั้นอาจถือได้ว่าเป็นเสรีนิยมโดยแท้จริง เพราะรักจึงยอมทุกอย่างไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในรูปใดก็ตาม เช่น ชวนพระซันหนีไปอยู่กรุงเทพฯ เป็นต้น ความจริงสิ่งนี้ก็เหมือนกับสีกาพินและแม่ของตนเอง แต่หากจะวิจารณ์ในแนวโครงสร้าง เรื่องทั้งเรื่องถูกครอบงำอยู่ด้วยคตินิยมแบบพุทธดั้งเดิมด้วย หากทำอย่างที่ว่าฝ้ายต้องกลายเป็นเปรตไปโดยปริยาย

ที่บอกว่าไม่น่าหนังไม่น่าถูกตัดนั้น เพราะไม่มีอะไรเลยที่ผิดศีลธรรมในแบบพุทธ สุดท้ายแล้วเรื่องนี้กลับส่งเสริมศีลธรรมแบบพุทธเข้าไปอย่างกู่ไม่กลับเลยทีเดียว


หมายเลขบันทึก: 603683เขียนเมื่อ 18 มีนาคม 2016 20:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มีนาคม 2016 20:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

รู้สึกงง ๆ กับบทของพระทินครับ ดูรอบแรกไม่ค่อยเข้าใจว่าพระสินเป็นคนหรือเป็นผี พอดูรอบที่ 2 ก็เริ่มไม่แน่ใจว่าพระทินกับพระสิน น่าจะมีสักคนหนึ่งที่เป็นผี แต่ก็ดูไม่ออกว่าใคร แต่เข้ามาดูรีวิวเฉลยว่าพระทินเป็นผี แล้วยังชี้ให้เห็นจุดสังเกตว่า พระทินจะปรากฏตัวตอนกลางคืนเสมอ แต่เท่าที่ดูในเนื้อเรื่อง บางฉากก็มาตอนกลางวัน แล้วผีพระสินก็ยังสูบบุหรี่ได้ด้วย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท