พลังการเรียนรู้ สร้างสรรค์ สู่การเปลี่ยนแปลง ผู้พิการทางร่างกายและสติปัญญาร่วมด้วย สู่การฟื้นคืนสุขภาวะทางสังคมไทย
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่านวันนี้ผมจะมาขอพูดถึงการฟื้นฟูผู้พิการทางด้านร่างกายและสนิปัญญาในวัยผู้ใหญ่ โดยผมจะอธิบายในแบบของมิชากิจกรรมบำบัดนครับ หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้ประโยชน์และสามารถนำไปใช้ได้นะครับ
ก่อนอื่นเลยผมขออธิบายคำศัพท์ทั้งคำนี้ก่อนเลยนะครับ
Impairment คือ ความบกพร่อง เสียหน้าที่การทำงานของร่างกายและจิตใจไป ซึ่งจะเสียชั่วคราวหรือถาวรก็ได้
Disability คือ การไร้ความสามารถ เป็นผลมาจากการ impairment ทำให้เกิดข้อจำกัดที่จะทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งไปเช่น นักไวโอลิน นิ้วมือขาดเล่นไวโอลินตามเคยไม่ได้ ถือว่าเป็น disability แต่ถ้านิ้วที่ขาดไปเป็นนิ้วข้างที่ไม่ถนัดซึ่งไม่สงผลใดๆต่อการเล่นไวโอลิน ถือว่าเป็น impairment
Handicap คือ การเสียเปรียบของบุคคล เป็นผลมาจากการ บกพร่องหรือไร้ความสามารถ ทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสม เช่น คนตาบอดเสียเปรียบในการรับรู้ข่าวสารที่ส่งมาเป็นตัวอักษร
คนพิการแบ่งออกเป็น 6 ประเภทได้แก่
สาเหตุ
1.พิการแต่กำเนิด จาก กรรมพันธุ์ เช่น down syndrome
2.จากการติดเชื้อ จากแบคทีเรียต่างๆตอนเป็นเด็ก เช่น วัณโรค โรคเยื้อหุ้มสมองอักเสบ โปลิโอ หัดเยอเรมัน คางทูม อีสุกอีใส
3. จากอุบัติเหตุ
4. จากสาเหตุของเนื้องอก
5 ไม่ทราบสาเหตุ
ร่างกายจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน 8 ระบบ จึงจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
และอีกระบบหนึ่งที่สำคัญมากๆเพราะเป็นจะทำให้คนๆนั้นสมบูรณ์เป็นคนไม่ได้ คือ เรื่องจิตใจ
พิการด้านร่างกาย
ร่างกายทำให้เกิดการเคลื่อนไหว ซึ่งจะปรกอบไปด้วยกระดูก ข้อต่อ และกล้ามเนื้อ
กะโหลกประกอบไปด้วยกระดูกหลายๆชิ้นมาต่อซึ่งแต่ละชิ้นก็มีความสำคัญต่างกันไป ต่อลงมาคือกระดูกสันหลัง ทำให้ร่างกายตั้งตรงอยู่ได้ ซึ่งก็ประกอบไปด้วยกันหลายระดับ และกระดูกสันหลังยังมีเส้นประสาทอยู่ทำหน้าที่ในการส่งคำสั่ง ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว รับความเจ็บปวด อีกด้วย ลงไปอีกเป็นซี่โครง กระดูกแขนและมือ เชิงกราน ขาและข้อเท้า
ระบบกล้ามเนื้อ ซึ่งหน้าที่รับคำสั่งจากการสั่งงานของสมอง motor nevre ถ้าหน้าที่ของกล้ามเนื้อลายเสียไปจะทำให้เกิดความพิการทางการเคลื่อนไหว
อีกทั้งยังมี motor nerve sensory nerve
พิการด้านสติปัญญา
มีความผิดปกติด้านสมอง ส่วนใหญ่เกิดขณะครรภ์ อาการจะแสดงตั้งแต่เด็ก จนไปถึง 18ปี โดยจะแสดงความด้อยพัฒนาไม่สมอายุ 9 ประการ
การแบ่งระดับสติปัญญา
IQ 55-69 = Mild Educable
IQ 40-54 = Moderate Trainable
IQ 25-39 = severe
IQ 0-24 = profound
ในวัยผู้ใหญ่ สิ่งสำคัญและคำนึงถึงได้แก่
การปรับตัวทางสังคม
พิการซ้ำซ้อน
จัดเป็นกลุ่มที่ถูกละเลยสิทธิมากที่สุด บางรายไม่ได้จดทะเบียนคนพิการ พิการซ้อนหมายถึงการมีมีความพิการมากกว่า1 ชนิดในตัว และที่สำคัญคือ ผู้ที่ภาวะพิการด้านสติปัญญาส่วนใหญ่จะมีภาวะอื่นแทรกซ้อนอีก
ผู้พิการด้านร่างกายและสติปัญญาร่วมด้วย = cognitive + Physical (ปัญญาอ่อน + อัมพาต , ปัญญาอ่อน + Spina bifida)
กระบวนการต่อมาผมขอพูดถึงการประเมินทางกิจกรรมบำบัดในแบบ PEOP
ซึ่งจากการดำเนินโรคนั้นส่งผลต่อ Occupation ในทุกด้าน แต่ผมขอเน้นในเรื่องของ Social participation และ Work นะครับ
การประเมินทางกิจกรรมบำบัด
P | P+E+O | P+E+O+P | Well being |
•ถามความต้องการของผู้รับบริการ •สร้าง Relationship • ประเมินด้านร่างกายMMT Endurance Balance
|
•สร้างสัมพันธภาพกับผู้รับบริการ •ประเมินสภาพบ้าน สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิต •หาแรงจูงใจจากใช้แบบประเมินความสนใจ และ MOHO (Self- determination) |
•ประเมินระดับ ความสามารถจากการทำกิจวัตรประจำวัน Routine task •แบบประเมิน Independent living scale •คู่มือวางแผนเพื่อการศึกษาและอาชีพ ดู(self-management)
|
ประเมินการปรับบทบาทชีวิตในสังคมการใช้ทักษะที่มีใช้ให้เป็นประโยชน์นำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข(self-developing) |
ผมขอเน้นในวัยของผู็ใหญ่นะครับเนื่องจากเป็นวัยผู้ใหย่ผมจึงเน้นการประเมินในทางการมีส่วนร่วมในสังคมและการกลับไปทำงานเะื่อนมีอิสระทางการเงินครับ จะเห็นได้ว่าผมจะเริมประเมินตั้งแต่ทางร่างกายและสติปัญญา รวมถึงพฤติกรรมการปรับตัวทั้งในสังคม จากนั้นผมจะมาดูถึงด้านสิ่งแวดล้อม ในบ้านสถานที่ที่เค้าต้องดำเนินชีวิตประจำวันว่ามีการขัดขวางและสนับสนุนอย่างไร >>จากนั้นผมจะประเมินด้านการใช้ชีวิตประจำวนทั่วไป การเคลื่อนย้ายตัว การเคลื่อนไหวการทำงานต่างๆ รวมไปถึงวางแผนการทำงานว่าเค้าชอบทำงานอะไร และมีงานอะไรที่พอเหมาะกับความสามารถของเค้าที่มีอยู่ เพื่อจุดมุ่งหมายสูงสุดคือการต้องการให้เค้ากลับดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขและอิสระ (Well being)
วิเคราะห์ตาม PEOP
P | E | O | P |
•ผู้พิการด้านร่างกายและสติปัญญาร่วมด้วย •ความคาดหวังและความต้องการ •ทัศนคติ |
•สภาพแวดล้อมที่มีทั้งสนับสนุนและขัดขวางต่อการดำเนินชีวิต •กฎหมายผู้พิการ และการส่งเสริมทางสังคม •เทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อคนพิการ |
•โครงการที่สนับสนุนการทำงานของผู้พิการ •การสอนการทำงานตามความเหมาะสมของผู้พิการ •กิจกรรมที่ส่งเสริมความสามารถและมีคุณค่าทางจิตใจของผู้พิการ |
•ทักษะที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนและนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตและเกิดเป็นบทบาททางสังคม |
P+E
จากในตัวบุคคลมีเจตจำนงค์ของตนเอง(Volition)ซึ่งเกิดมาจากความสนใจ การให้คุณค่า และความชอบส่วนบุคคลบนพื้นฐานความต้องการส่วนบุคคลตามหลักของ Maslow เสริมแรงกับปัจจัยภายนอกสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่เอื้อหนุนต่อการทำกิจกรรทเกิดเป็นแรงจูงใจ(Motivation)
P+E+O
ทั้งปัจจัยภายในตนเองเสริมแรงกับปัจจัยภายนอกคือสิ่งแวดล้อมที่คอยเอื้อหนุนและเสริมแรงแรงกับกิจกรรมที่ที่ส่งเสริมจากสังคมทำจนชำนาญกลายเป็นทักษะความสามารถผ(Ability)
ต่อมาจะเป็นกระบวนการรักษาทางกิจกรรมบำบัด
กระบวนการรักษาทางกิจกรรมบำบัด
T.Relationship to recovery | T.Environment to empowerment | T.Use of self to Empathy | T.Skill to active learning |
•การสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้รับบริการ•ยอมรับทัศนคติและให้เกียรติผู้รับบริการ
•มีความจริงใจและแสดงออกด้วยความจริงใจ |
•สนับสนุนการใช้อุปกรณ์ช่วยอำนวยความสะดวก และให้ความรู้เรื่องสิทธิผู้พิการ •ช่วยส่งเสริมสิทธิคุ้มครองผู้พิการทั้งการเข้าถึงทรัพยากร และการเข้าทำงาน |
•การใช้ตัวเราบำบัด ตระหนักรู้ถึงตัวเราและผู้รับบริการ •เข้าใจผู้รับริการ มองผู้รับบริการด้วยความเห็นใจ ไม่รังเกียจอันเนื่องมาจากตัวโรค |
•การเลือกและจัดกิจกรรมที่เหมาะสม กับกับผู้รับบริการ โดยจัดตามระดับ cognitive ในผู้พิการร่างกายร่วมกับสติปัญญา อยู่ในระดับ 2-3 ซึ่งกิจกรรมกลุ่มที่เหมาะสมคือ กลุ่มผลงาน จนไปถึง กลุ่มช่วยกันคิด ช่วยกันทำแต่ไม่มีเป้าหมายในการทำ แต่ในบางรายที่มีระดับ IQ ที่ดีสามารถนำไปสู่ กลุ่ม cooperative |
กิจกรรมที่ผมเลือกมาคือกิจกรรมแสดงบทบาทสมมุติเพราะเป็นกิจกรรมทาง EQ(Emotional quotient) ขอขอบพระคุณอาจารย์ป๊อปที่เคยสอนหลักการจัดกิจกรรมสำหรับผู็ป่วยด้านต่างๆครับโดยอาจารย์ป๊อปบอกว่าเราควรเลือกกิจกรรมที่ไม่ไปกระทบต่อความสามารถของผู็ป่วย โดยแบ่งออกเป็น3แบบ ได้แก่ IQ (Intellectual Quotient) EQ(Emotional Quotient)และPQ(Physical Quotient) ผู็พิการด้านร่างกายและสมองร่วมด้วนเหมาะสมกับ การใช้อารามณ์ในการแสดงออกของกิจกรรม มีแนวทางดังนี้ ถามความต้องการที่จะแสดงเป็นบทบาทที่ตนสนใจและอยากเป็น อาชีพ หรือความฝัน โดยแสดงร่วมกับคนอื่นๆในกลุ่ม
สังคมไทยปัจจุบัน นั้นยังให้ความสำคัญกับผู้พิการยังไม่เพียงพอ จึงทำให้ผู้พิการเหล่านั้นขาดโอกาสที่จะได้รับความเท่าเทียมกันในสังคม กระผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากกับคนพิการที่ต้องพัฒนาตอนนี้คือ การโดนมอง และตีความจากผู้อื่นภายนอกว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่ไร้ความสามารถ หากเราช่วยกันทำให้ทุกคนเห็นความเท่าเทียมกันของคนปกติและคนพิการนั้น ซึ่งสามารถใช้ความรู้ที่ได้อ่านจากบทความข้างต้นนั้นเข้าไปปรับทัศนคติของคนอื่นๆภายนอก ผมคิดว่าไม่นานปัญหาเหล่านี้เชื่อได้เลยว่าจะลดลงได้มากเลยทีเดียว