หนังสือ Sapiens : A Brief History of Humankind ตีความเรื่องราวของมนุษย์เปิดกระโหลกผมเป็นอันมาก ผมเพิ่งอ่านได้ไม่ถึง ๒ บทจากทั้งหมด ๒๐ บท ทำให้เข้าใจว่าทำไม “มนุษย์ผู้ฉลาด” (sapiens แปลว่าฉลาด) จึงมีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์พันธุ์อื่น (เช่น Homo erectus, Homo neanderthalensis, Homo rudolfensis, Homo ergaster, เป็นต้น) อย่างมากมาย
จึงได้เข้าใจว่า ในประวัติศาสตร์ของ Homo sapiens มีการปฏิวัติใหญ่อยู่ ๓ ครั้ง คือ The Cognitive Revolution, The Agricultural Revolution, และ The Scientific Revolution
The Cognitive Revolution เกิดจากวิวัฒนาการสู่สมองที่ใหญ่และใช้พลังงานมาก พลังของมนุษย์ผู้ฉลาดอยู่ที่คุณภาพ ของสมอง ที่น้ำหนักเพียงร้อยละ ๒ - ๓ ของร่างกาย แต่ใช้พลังงานถึงร้อยละ ๒๕ และพลังสมองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ความสามารถร่วมกันเชื่อในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ที่เรียกว่า imagined reality ทำให้คนเรามีชีวิตคุ้นเคยอยู่กับความเป็นจริงสองชั้น คือความเป็นจริงที่มีอยู่จริง สัมผัสได้ กับความเป็นจริงสมมติ หรือที่มนุษย์ใช้จินตนาการสร้างขึ้น และเป็นความจริงสมมติ ร่วมกันของคนจำนวนมาก
หนังสือกล่าวถึงความจริงสมมติที่ยิ่งใหญ่ เช่นศาสนา บริษัท ประเทศ รัฐบาล สหประชาชาติ ที่ทำให้ผู้คน มาร่วมมือกัน หรือรวมตัวกันทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
Cognitive Revolution ในมนุษย์ ที่สร้าง “มนุษย์ผู้ฉลาด” เมื่อสองแสนปีมาแล้ว ให้เป็นผู้ที่สามารถสร้างสิ่งสมมติ ขึ้นมาได้ และร่วมกันเชื่อในสิ่งสมมติได้ ใช้สิ่งสมมติรวมใจกันทำสิ่งที่ใหญ่โตกว้างขวางได้ เป็นปฏิวัติแรกที่เกิดจาก วิวัฒนาการทางชีววิทยา เป็นผลของการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยา
แต่หลังจากนี้ การปฏิวัติใหญ่ครั้งที่สอง และครั้งที่สาม จะไม่ใช่เกิดจากวิวัฒนาการทางชีววิทยา แต่จะเกิดจาก ความสามารถด้านจินตนาการของมนุษย์ ที่สามารถอยู่ร่วมกัน และสร้างสรรค์ร่วมกันได้ ทั้งด้วย reality และด้วย imagined reality สิ่งสมมติที่มนุษย์ร่วมกันสร้างนี้ ช่วยให้มนุษย์ไว้ใจกัน ร่วมกันทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และบางครั้งเลยจากผลประโยชน์ส่วนตัวได้
ผมคิดต่อว่า สิ่งสมมติที่ยิ่งใหญ่ คือ “ความดี” และ “ความชั่ว” และความเข้าใจนามธรรมที่เลยดีชั่ว
วิจารณ์ พานิช
๘ ก.พ. ๕๙
สนามบินดอนเมือง
ร่วมกันเชื่อในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
ข้างหนึ่งพิงเอ่ยอ้างว่าสามารถ
อีกข้างหนึ่งคือมายาแปลกประหลาด
โง่หรือฉลาดรู้ได้ด้วยปัญญา