วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ มีการประชุม โครงการสร้างแผนที่เพื่อเสริมพลังโรงเรียน ที่ สสส. จัดโดย มูลนิธิสดศรีฯ, มูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณ และภาคี จบการประชุมคุณเปาชี้ให้ผมดูว่า กระบวนการหลักใช้ KM 3.0
กลับมาบ้าน ผมไตร่ตรองสะท้อนคิดว่า ที่คุยกันไปทั้งหมด และที่วางแผนจะทำ mapping กิจกรรมกระบวนการเรียนรู้และผลที่เกิดขึ้นนั้น คือการใช้ KM เป็นเครื่องมือปฏิรูปการศึกษานั่นเอง
KM เริ่มจาก data ที่นำมาสร้างความหมายเป็น information และทำให้อยู่ในสภาพนำไปใช้ประโยชน์ได้ เป็น knowledge เอาความรู้ไปใช้ประโยชน์และยกระดับความรู้และผลการทำงานขึ้นไปเรื่อยๆ เป็น เกลียวความรู้ (knowledge spiral) ที่ไม่มีวันจบ ถึงจุดหนึ่ง ความรู้และการทำงานนั้นจะก้าวกระโดดสู่ภพภูมิใหม่ กระบวนทัศน์ใหม่ สภาพนี้คือเป้าหมายของ KM คือมุ่งทั้งผลที่เป็นการพัฒนาทีละเล็กทีละน้อย และที่เป็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดด
Education Mapping จะช่วยให้ร่วมกันสร้าง data จากการทำงานประจำของโรงเรียน ครู และการเรียนรู้ของนักเรียน เราจะจัดระบบข้อมูลให้ผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครอง และผู้เกี่ยวข้อง เข้าไปใส่ข้อมูลได้ ข้อมูลที่ตรวจสอบความแม่นยำถูกต้องแล้ว จะเปิดเผยต่อสาธารณะ ให้คนเข้าไปดูและสะท้อนความคิดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเข้าไปตีความคุณค่าของเรื่องราวนั้น
สถาบัน/บุคคล ผู้เอาข้อมูลที่มีความเป็นจริงและมีความถูกต้องแม่นยำ ใส่ลงใน “แผนที่” จะได้รับบริการตอบแทนในหลายสถาน ได้แก่
นอกจาก ทำแผนที่แบบให้กรอกข้อมูลเองแล้ว ทีมงานจะแสวงหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ นำเอาผลงานริเริ่มสร้างสรรค์ และเห็นผลเพิ่ม “ผลลัพธ์การเรียนรู้” (Learning Outcome) ของนักเรียน เอามาลงใน “แผนที่” เพื่อให้สาธารณชนเข้ามาเรียนรู้ และให้เจ้าของผลงานได้เขามาเพิ่มเติมผลงาน ที่มีพัฒนาการต่อเนื่อง และได้รับผลประโยชน์ตามที่กล่าวข้างบน
นี่คือ “ฝันที่ ๑” ของการใช้ KM ขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา
วิจารณ์ พานิช
๓ ก.พ. ๕๙
ฝันที่ ๑ ปฏิรูปการศึกษาด้วย KM
วางกลไกจัดเต็มสร้างแผนที่
เสริมพลังโรงเรียนที่ทำดี
ตอบแทนที่ให้ข่าวสารด้วยบริการ