หลังผมรักษาไวรัสตับอักเสบซีหาย ผมกลับมาทุ่มเทกับงานอีกครั้ง ด้วยคิดว่าตัวเองแข็งแรงพอที่จะรับกับงานได้ อีกทั้งการได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องมาตลอด ความดันไม่เคยสูง โรคเครียดก็หายนอนหลับได้ตามปกติ เสาร์อาทิตย์มีเวลาออกกำลังกายด้วยการวิ่งตอนเช้า ทำให้มั่นใจว่าต้องรับกับงานที่ค่อนข้างหนักและมีความกดดันได้อีกครั้ง
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาช่วงบ่ายสี่โมงเย็นผมลุกจากโต๊ะทำงานตั้งใจจะเดินเข้าคลังสินค้าเพื่อไปหาหัวหน้างานคนหนึ่งเพื่อสอบถามปัญหาเรื่องงาน ก่อนจะไปเลยแวะดื่มน้ำสักแก้ว ดื่มน้ำอึกสุดท้ายรู้สึกเสียวแป๊บตรงใต้หูขวาลงมาทีกราม
สงสัยว่าตัวเองเป็นอะไรเอามือคลำดูก็ปกติดี รู้สึกเจ็บแป๊บๆ แต่ก็ไม่มากนักก็ไม่สนใจเท่าไหร่กับอาการนั้น ระหว่างเดินไปประมาณเกือบหนึ่งร้อยเมตรได้ ก็รู้สึกหายใจขัดๆพยายามกลืนน้ำลายแต่เหมือนมีก้อนเสลดเหนียวติดคอ ยิ่งกลืนเหมือนยิ่งติด จนหายใจเข้าแทบไม่ได้ พยายามกระแอมกระไอแรงๆ เพื่อให้หายใจได้
ตอนนั้นคิดว่าจะเดินต่อหรือจะเดินกลับ เดินต่อเพื่อให้งานได้สำเร็จลุล่วงไป เดินกลับเพื่อจะหาน้ำดื่มเพื่อให้หายใจได้ไม่ติดขัด
พยายามหายใจลึกๆอีกครั้งเดินไปข้างหน้าต่อ และคุยเรื่องงาน รู้ตัวเองว่าน้ำเสียงและอารมณ์ระหว่างที่คุยงานนั้นไม่ปกติ เหมือนใจลอยๆ แต่ก็สอบถามจนลุล่วงไปก่อนเดินกลับโดยหัวหน้างานคนนั้นก็คงสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมกลับเร็ว
เมื่อกลับมานั่งที่โต๊ะก็บอกกับน้องๆในสำนักงานว่ารู้สึกแปลกๆเป็นอะไรไม่รู้เสียวแป๊บๆตรงใต้หู แต่ไม่ได้บอกว่าหายใจไม่สะดวก
นั่งทายาหม่อง ดมยาหม่องและหายใจเข้าออกลึกๆสักพักหนึ่ง ความคิดตอนนั้นกำลังตัดสินใจว่าจะไปห้องพยาบาลดีหรือไม่ เพราะใกล้เวลาเลิกงานแล้ว หรือจะรอเลิกงานแล้วไปหาหมอทีเดียวเลย เมื่อดูเวลาแล้วคิดว่าน่าจะทันจึงตัดสินใจเดินไปห้องพยาบาล(ซึ่งอยู่ไกลมากประมาณ500เมตร)
เดินไปได้สัก50เมตรอาการหายใจติดขัดเริ่มมาอีกแล้ว ตัดสินใจเดินกลับมาถึงโต๊ะรีบดื่มน้ำแลหายใจลึกๆ น้องๆในห้องเริ่มถามว่าเป็นอะไรหน้าซีดๆ
มานั่งคิดวางแผนว่าหากขับรถไปหาหมอที่โรงพยาบาลหลังเลิกงานจะไปถึงอย่างปลอดภัยหรือไม่ หรือจะให้น้องติดรถไปด้วย
ระหว่างที่สับสนอยู่นั้อาการหายใจติดขัดเริ่มมาอีกคราวนี้รู้สึกหน้ามืด มึนชาไปทั้งตัว มือไม้สั่นจนคิดว่าไม่ไหวแล้ว จึงตัดสินใจเรียกน้องในห้องเรียกพยาบาล
พยาบาลวัดความดันได้160 ซึ่งสูงมากและเป็นครั้งแรกที่ความดันสูงเกินปกติ พยาบาลถามอาการและหลายคนลงความเห็นว่าควรจะนั่งรถตู้บริษัทไปโรงพยาบาลและให้พยาบาลไปด้วย ไม่ควรไปเองโดยลำพัง
กว่ารถตู้จะมาถึงเกือบครึ่งชั่วโมง และกว่าจะฝ่าการจราจรช่วงเลิกงานถึงโรงพยาบาลวันนั้นก็หกโมงเย็นกว่า วัดความดันสูงกว่าที่ทำงานอีก แต่วัดการเต้นของหัวใจปกติ
ผลการตรวจหมอบอกไม่มีอะไรที่น่ากลัว อาการหายใจติดขัดไม่สะดวกอาจมาจากกรดไหลย้อน จนทำให้เครียดตกใจจนเกิดความดันสูง
แต่อาการความดันสูงนี้สิ มันมาได้อย่างไร ผมคิด ทั้งๆที่ผมหาหมอบ่อยมาก วัดความดันตลอดไม่เคยสูง
แต่เมื่อคิดถึงการทำงานที่หนักขึ้นทุ่มเทเลิกดึกมากขึ้น ทานอาหารมากขึ้น ทานไม่เลือกจนน้ำหนักมากขึ้น จากที่จะควบคุมน้ำหนักให้ลดลงอีก 2 กิโลกรัมกลับเพิ่มเป็น3กิโลกรัม
สาเหตุนี้กระมังที่ทำให้โรคที่เราไม่คาดคิดมาก่อน เกือบจะพรากชีวิตเราไปได้ง่ายๆ
อโรคยา ปรมาอาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
สุขสันต์วันตรุษจีน อย่าลืมรักษาสุขภาพกันนะครับ
..........
ดีแล้วนะคะที่ไม่เป็นอะไรมาก สัญญาณเตือนให้เราดูแลอาหารการกิน ออกกำลังกายเหมาะสมมาแล้วค่ะ