การเรียนรู้ R2R ในปางมะผ้า (ตอนที่ ๕) ; กองทุนช่วยเหลือผู้ยากไร้โรงพยาบาลปางมะผ้า
สิ่งที่ประทับใจอีกเรื่องหนึ่งจากการเดินทางไปขับเคลื่อน R2R คปสอ.ปางมะผ้า นั่นก็คือ เรื่องกองทุนช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้โรงพยาบาลปางมะผ้า ... ข้าพเจ้าได้รับทราบเรื่องราวของการทำงานที่มีข้อจำกัดมากมาย และความยากของงาน จากสภาพภูมิประเทศแล้ว ในเรื่องทางสังคมและการปกครองก็ส่งผลกระทบถึงวิถีแห่งการช่วยทางสุขภาพด้วย
ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีเลขสิบสามหลัก
สภาพการเข้าถึงระบบบริการน้อยมาก
ปัญหาเรื่องความแออัด
เท่าที่ข้าพเจ้าได้ไปสัมผัมถือว่าน้อย
เพราะการเดินทางที่ไม่สะดวก
ไม่หนักหนาสาหัสจริงๆ
คนไข้ก็คงจะไม่ลงจากดอย
... งาน Routine
ที่ต้องทำให้ผ่านตัวชี้วัด
ทำได้ยากมาก
แต่...คนทำงานที่นี่ก็ไม่ย่อท้อ
พัฒนางานอยู่อย่างตลอดเวลา
แบบทำจริงเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ
และเอื้ออำนวยเกื้อกูลการทำงาน
เกิดมีโครงการ
PUC@Home
และ 4x4 Team
เกิดขึ้นเพื่อให้บุคลากรสาธารณสุขได้เข้าถึงผู้ป่วย
คนน้อย...พื้นที่เข้าหาผู้ป่วยเดินทางไปลำบาก
ลำพังเจ้าหน้าที่ รพ.สต.ไปเองไปไม่ได้
ต้องอาศัยรถขับเคลื่อนสี่ล้อซึ่งมีเฉพาะที่โรงพยาบาล
ดังนั้นทั้ง
สสอ.และโรงพยาบาลจึงร่วมมือกันทำงานด้วยกัน
ลงพื้นที่เข้าไปให้บริการ
นับตั้งแต่แพทย์ พยาบาล
เภสัช นักกายภาพบำบัด
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและหน่วยยาน
ต่างร่วมกันเดินทางขึ้นสู่ยอดดอย...เพื่อไปให้บริการ
และที่ยากยิ่งกว่านั้น
ในรายที่ต้องมีการส่งต่อ...ไปในโรงพยาบาลที่ใหญ่กว่า
สิ่งที่กระทบมากคือ รักษาพยาบาล
คนไข้ไม่มีสิทธิ์ทางการรักษา
แต่ด้วยภาวะการเจ็บป่วย
ทีมรักษาไม่อาจเพิกเฉยได้จำเป็นที่จะต้องส่งไปรักษาในสถานที่มีศักยภาพมากกว่า
แต่คนไข้ไม่มีเงินไม่มีสิทธิ์
ไม่มีเลขสิบสามหลัก ...
พยาบาลตัวเล็กๆ
คนหนึ่งชื่อ คุณนุช
เกิดแรงบันดาลใจเก็บขวดพลาสติดหรือขยะที่สามารถขายได้นำรายได้มาเป็นกองทุน
... จนเกิดเป็นการขยายผลตั้งกองทุนอย่างเป็นทางเกิดขึ้น
ชื่อกองทุนช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้โรงพยาบาลปางมะผ้า
“อาจารย์รู้ไหมว่า
คนไข้น่ะทั้งชีวิตเขาไม่เคยออกจากบ้าน
แค่มาถึงโรงพยาบาลปางมะผ้า
เขาก็กลับลำบากแล้ว
และนี่บางครั้งต้องส่งไปเชียงใหม่
เขาจะเป็นยังไง พวกผมก็ทิ้งเขาไม่ได้
...” เป็นความตอนหนึ่งที่คุณเงิน
พนักงานขับรถที่คอยรับส่งข้าพเจ้าได้เล่าให้ฟัง
“บางครั้งพวกเราไปออกหน่วย
ไปเจอคนไข้นอนป่วยเป็นเดือน
เขาไม่สามารถพากันลงมาจากดอยได้
เราไปเจอก็ต้องพาเขาลงมารักษา...”
“เขาข้ามฝั่งมา
ผมเป็นหมอ จะนิ่งเฉยได้อย่างไร...”
นพ.สุพัฒน์เคยเล่าไว้
“บางทีเราเดินทางไปรับคนไข้
รถไปต่อไม่ได้
เราก็ต้องเดินเท้า...เพื่อไปรับเขาลงมา
มาแล้วเขาเป็นมากกว่าที่เราจะรักษาก็ต้องคอยประสานหาโรงพยาบาลที่จะรับเขารักษาต่อได้
ไปเจออาจารย์หมอบางท่านใจดี
ท่านก็ช่วยค่ารักษา...”
“เราเห็นแล้วว่าเด็กน่าจะรอดถ้าไปถึงมือทีมรักษาในโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือพร้อม
แต่เราก็ต้องตระเวณบางครั้งวิ่งรถไปแม่ฮ่องสอนก่อน
ที่นั่นรับไม่ได้ก็ต้องวิ่งรับย้อนกลับมาเพื่อไปเชียงใหม่
...ถนนแถวนี้พวกผมขับรถจนชินแล้ว...
...
๒๖-๒๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๙
ไม่มีความเห็น