อาจารย์จิรพร สุเมธีประสิทธิ์
[email protected]
http://chirapon.wordpress.com
การบริหารงบประมาณสมัยใหม่ ก้าวข้ามการบริหารจัดการแบบดั้งเดิมสู่การสร้างการเติบโตเศรษฐกิจและลดความเหลื่อมล้ำของกลุ่มสังคมเป็นสำคัญ ซึ่งจะทำได้จะต้องพิจารณาทางเลือกที่จำเป็นให้ครบถ้วน และมีหลักการวิเคราะห์และประเมินที่เหมาะสม
ประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าจะมีความมั่นใจในดุลยภาพของงบประมาณ ประกอบด้วย
ประการที่ 1
ปัจจัยที่รัฐบาลควรจะนำมาพิจารณาคือ ประเด็นที่อาจจะทำให้เกิดปัญหาด้านงบประมาณ
- การขาดดุลเชิงโครงสร้าง ที่มาจากอัตราการเติบโตของรายจ่ายรวดเร็วกว่า อัตราการเติบโตของรายรับที่จัดหาได้ หรือมาจากระยะถดถอยและชะลอตัวในวัฏจักรทางธุรกิจ ซึ่งรัฐบาลจะต้องหาทางกำหนดสมมติฐานเพื่อประมาณขนาดของการขาดดุลเชิงโครงสร้างให้สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด
- รายจ่ายมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ รายจ่ายงบประมาณอาจจะต้องรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย เท่ากับสวนกระแสการเติบโตทางเศรษฐกิจ
- รายรับมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง มากกว่าจะเพิ่มขึ้น ทำให้รัฐบาลประสบปัญหาในการจัดหารายรับมาให้เพียงพอกับรายจ่าย
- แรงกดดันในอนาคต คือ โอกาสที่จะสร้างความสมดุลด้านงบประมาณยิ่งเป็นไปได้ยาก
ประการที่ 2
หลังจากพิจารณาปัจจัยที่เคยสร้างปัญหางบประมาณแล้ว รัฐบาลต้องหาทางกำหนดแนวคิดการปรับปรุงงบประมาณสู่ดุลยภาพให้ได้ และยากจะหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวยเหล่านี้
- ทำให้ประชาชนเตรียมตัวและความพร้อมรับมือความเจ็บปวด ด้วยการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจและทำให้เกิดการยอมรับปัญหาได้มากขึ้น และปรับตัวให้เหมาะสม โดยเน้นเหตุและผล คำอธิบายที่ชัดเจน
- กำหนดเกณฑ์การเรียงลำดับและกระจายอำนาจ ทางเลือกการใช้จ่ายที่มีอยู่ เพื่อให้มั่นใจว่า จะไม่ให้เงินงบประมาณไปในแผนงานที่มีความจำเป็นน้อย
- การเฝ้าระวัง ติดตาม สอดส่องทางเลือกที่ยุ่งยากอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหากจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เช่น ลดรายจ่ายหรือเพิ่มรายรับในช่วงภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย
- อย่าผัดวันประกันพรุ่ง ต้องปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ทันท่วงที
ประการที่ 3
กรอบทางเลือกด้านงบประมาณ ในกรณีที่เกิดการขาดดุลด้านการคลัง ประกอบด้วยประเด็นที่ควรอยู่ในกรอบทางเลือก 3 ประเด็น
- ผลกระทบทางสังคม ที่เกิดกับประชาชนและพฤติกรรม ความเป็นอยู่ของประชาชน
- ผลกระทบต่อการกระจายรายได้ โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มที่มีรายได้ต่ำสุด
- ผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกิจกรรมทางเศรษฐกิจสำคัญของหน่วยเศรษฐกิจหลัก
ประการที่ 4
แนวคิดของการเติบโตทางเศรษฐกิจสมัยใหม่ที่ทั่วโลกเห็นพ้องต้องกันและยอมรับคือ Inclusive Growth ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการกำกับดูแลที่ดีของภาครัฐ สู่การลดความเหลื่อมล้ำ
ความแตกต่างสำคัญของแนวคิดนี้คือ การบริหารงบประมาณจะต้องดำเนินไปควบคู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจและก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ประเมินแบบครอบคลุมในมิติต่างๆ (Inclusive outcomes) ที่ทำให้เห็นว่า คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นทุกกลุ่ม และลดความเหลื่อมล้ำได้จริง
- งบประมาณต้องตอบโจทย์ที่ซับซ้อน หลายประเด็นปัญหาพร้อมกัน เป็นแผนงานเชิงบูรณาการ
- เกณฑ์การตัดสินใจใหม่คือ การวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งและการแลกเปลี่ยนกันระหว่างแผนงาน (Joined-up delivery) และการพิจารณาด้วยภาพรวมเดียวกัน (a-whole-of-government approach)
- เกณฑ์การวางเงื่อนไขให้ผู้นำเสนองบประมาณพิจารณาที่ควรปรับเปลี่ยนใหม่ให้ครอบคลุมถึง
- เงื่อนไขที่เกิดใหม่ในการงบประมาณคือ การวิเคราะห์และประเมินแผนงานและโครงการที่จะทำให้เข้าใจการตัดสินใจของผู้เสนอของบประมาณได้ชัดเจน
- การเปลี่ยนกลไกการกำหนดวิสัยทัศน์ แรงจูงใจและการส่งมอบบริการสาธารณะตลอดวงจรการตัดสินใจ (policy-making cycle)
- เครื่องมือใหม่ทั้งก่อนและหลังการอนุมัติที่จะทำให้ส่วนราชการสามารถวิเคราะห์ผลกระทบต่อการกระจายรายได้ และการลดความเหลื่อมล้ำและทำให้ประกันได้ว่าจะสนองตอบรับต่อปัญหาและความจำเป็นของกลุ่ม สังคมรายกลุ่ม
- การเปิดรับฟังความคิดความเห็นในวงกว้าง และเพิ่มระดับของความรับผิดรับชอบต่อผลงานและการตัดสินใจ
- การออกแบบแผนงานและโครงการ
- การส่งมอบผลผลิตที่ยึด well-being-based framework
- ความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่จะเกิดในลักษณะ Joined-up outcomes หรือ multi-dimension policy objectives ได้แก่ ความพึงพอใจที่ครอบคลุมรายได้ การมีงานทำและสุขภาพที่ดี ทุนสังคม การมีส่วนร่วมในวิถีชีวิตทางสังคม
ประการที่ 5
ธีมของการพัฒนาระบบงบประมาณ คือ multi-dimensional policy impacts ที่ต้องมีตัวชี้วัดทั้ง
- วัตถุนิยมหรือองค์ประกอบทางกายภาพที่จับต้องได้ มองเห็นได้
- องค์ประกอบอื่นที่ไม่ใช่ทางกายภาพ จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ประการที่ 6
ขั้นตอนที่รัฐต้องปรับเปลี่ยนภายใต้งบประมาณเพื่อรองรับ Inclusive Growth
- ปรับรูปแบบ รายละเอียดของวิสัยทัศน์ด้าน Inclusive Growth วางเป้าประสงค์ใหม่ที่มีทั้งการเติบโตและการกระจายรายได้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
- วางเกณฑ์และเงื่อนไขเพิ่มเติมเพื่อจัดลำดับความสำคัญ เลือกสรรแผนงานและโครงการให้สอดคล้องกัน และจัดสรรทรัพยากรไปในทิศทางเดียวกัน
- เพิ่มองค์ประกอบด้านความยั่งยืนของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจที่สะท้อนถึง Inclusive Growth Target
- วางเกณฑ์และเงื่อนไขของกระบวนการค้าหา ระบุ วิเคราะห์ผลกระทบที่เป็นผลลัพธ์ทางสังคมด้านการกระจายรายได้ที่ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมควบคู่กับผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ ที่ตอบโจทย์และความต้องการของสังคม (การศึกษา รายได้ งาน สุขภาพ)
- เพิ่มตัวชี้วัดตามแนวคิด Whole-of-government Approach ที่เป็นรูปแบบของ Joined-up outcomes ที่เหนือกว่าSilo Indicator ซึ่งต้องมีนโยบายกระตุ้นให้ร่วมมือกันเสริมสร้าง ส่งเสริมซึ่งกันและกัน
- กำหนดเกณฑ์การตัดสินใจเชิงคุณภาพ ที่ส่งเสริม
- วางโครงสร้าง การกำกับดูแลแต่ละระดับของภาระงานใหม่ ให้ดูแลแต่ละกลุ่มสังคมได้อย่างเพียงพอ แทนการนับจำนวนเชิงปริมาณ หรือคำนวณด้วยค่าเฉลี่ย
- วางเกณฑ์และเงื่อนไข กรณีที่ต้องส่งมอบบริการเป็นแพคเกจ (Inclusive service delivery) ให้มีการส่งมอบในคราวเดียวกัน แทนการส่งมอบต่างคนต่างทำหากเป็นพื้นที่เป้าหมายเดียวกัน
- กำหนดกรอบการดำเนินงานให้เกิดการมีส่วนร่วมแบบ Inclusive engagement และรวบรวมข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ร่วมกันในคราวเดียวกัน และทำการวิเคราะห์และประเมินร่วมกัน
- การมีส่วนร่วม บทบาทที่กระจายความรับผิดชอบแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย แต่ละภาคส่วน
- การมีกลไกลดความซ้ำซ้อน
- การกำหนดปัญหาและความต้องการร่วมกัน
ประการที่ 7
ประเด็นที่ท้าทายและเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการบริหารงบประมาณเพื่อรองรับ Inclusive Growth
- การระบุ วิเคราะห์ประเมินผลลัพธ์ที่เป็นการกระจายรายได้ว่าลดความเหลื่อมล้ำได้หรือไม่ และลดช่องว่างได้เพียงใด
- แนวทางการปรับทัศนคติให้เกิดการเปิดรับฟังความคิดเห็นรอบด้าน สร้างการมีส่วนร่วมอย่างเพียงพอให้เกิดการระบุปัญหาได้ตรงประเด็น และครอบคลุม
- เครื่องมือที่จะสร้างกระบวนการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส และเชื่อถือได้ ตรงไปตรงมา สะท้อนความซื่อสัตย์ สุจริต
- กลไกที่ใช้ระหว่างการมีส่วนร่วม ให้นำไปสู่การสร้าง Inclusive Policy ที่เกิดประโยชน์สูงสุด
- การพัฒนาบุคลากรให้มีสมรรถนะ ทักษะ ความสามารถดำเนินงานภายใต้แนวทาง Inclusive Growth เพื่อให้เกิดการส่งมอบผลผลิตและผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิผล
- วิธีการที่จะใช้เป็นโซลูชั่นในการสร้างโอกาส สร้างความเท่าเทียม
- การตัดสินใจจัดสรรงบประมาณให้เกิดดุลยภาพภายใต้แนวคิดใหม่
- กลไกการสร้างคณะทำงานกำกับที่สร้างความร่วมมือและกำกับ Joined-up outcomes
- การสร้างนวัตกรรม สิ่งอำนวยความสะดวก โครงสร้างพื้นฐาน ตามแนวคิดใหม่ของ Inclusive Growth ให้ส่งผลถึงการกินดีอยู่ดีในองค์รวม
- การปรับตัวให้ยืดหยุ่นและสนองตอบรับตามสภาพปัญหาและความต้องการที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ประการที่ 8
Inclusive Growth เป็นการให้สิทธิให้เสียงแก่ภาคส่วนทางสังคมในการกำหนดนโยบายมากขึ้นผ่านระบบงบประมาณ ทั้งก่อนและหลังการอนุมัติงบประมาณ และสร้างความเชื่อมโยงของงบประมาณระยะปานกลางกับระยะสั้นหรืองบประมาณรายปี เป็นเสมือนพิมพ์เขียวของการปฏิรูปงบประมาณเพื่อรองรับ Inclusive Growth
ประการที่ 9
เครื่องมือและเทคนิคที่เปลี่ยนแปลงไป
- Public Financial Techniques เน้น Ex ante Assessment มากกว่าการประเมินและติดตามผลในภายหลังดำเนินการแล้ว
- Risk Assessment และต้นทุนความเสี่ยงของแต่ละทางเลือก ในช่วง Ex ante Assessment และแผนสำรองเผื่อฉุกเฉินรองรับกรณีสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย
- Pilot Project เพื่อเป็นโครงการนำร่องในแผนงานและโครงการเกิดใหม่
- Cost Effectiveness หรือ Cost Benefit Analysis หรือ Cash flow Analysis
- (Forecasting) Social Return on Investment Multi-criteria analysis
ประการที่ 10
Ex ante Appraisal เพื่อประเมินความเหมาะสมของแผนงานและโครงการล่วงหน้าก่อนการอนุมัติงบประมาณ ให้สามารถพยากรณ์ผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
- Gender Impact Assessment แยกเพศชายและหญิงชัดเจน
- Open Government Data เพื่อเพิ่มศักยภาพของส่วนราชการข้ามองค์กรในการนิยามความหมายของ Inclusive Growth ร่วมกัน และรวบรวมข้อมูลที่มีรูปแบบ Silo ให้สามารถเข้าถึงข้อมูลในองค์รวมได้
ประการที่ 11
ระบบงบประมาณสมัยใหม่ไม่ใช่เครื่องมือการบริหารและกำกับดูแลการบริหารจัดการของรัฐบาลเท่านั้น แต่ได้กลายเป็นกลไกในการที่ภาคพลเรือนและประชาคมจะใช้ระบบงบประมาณเป็นเครื่องมือในการปฏิรูปการกำกับและติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินงานและทำให้รัฐบาลต้องรับผิดรับชอบต่อผลงานที่ได้ทำไป
ดังนั้น การพัฒนาระบบงบประมาณแนวใหม่ที่รองรับ Inclusive Growth จึงเป็นเสมือน การปลุกบทบาทของภาคประชาชนไปสู่การยกระดับบทบาทของตนเองสู่มิติใหม่ ที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ภาคประชาชนจะมีส่วนเกี่ยวข้องได้ โดยเฉพาะจากมุมมองของประชาชนที่อยู่ในภาวะยากจนและการส่งเสริมให้เกิดความใส่ใจในสิทธิมนุษยชนสู่ความเท่าเทียมกัน ของกลุ่มคนที่ด้อยโอกาส
ประการที่ 12
ระบบงบประมาณสมัยใหม่จึงเป็นงบประมาณเพื่อภาคสังคมมากกว่าอดีต ซึ่งอาจจะเคยมีสัดส่วนของงบประมาณเพื่อภาคสังคมด้อยโอกาสน้อยมาก ในช่วงที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับ GDP โดยเฉพาะภาคการศึกษา การจัดหางาน การเพิ่มรายได้ และการส่งเสริมสุขภาพที่ดี และกลุ่มสังคมผู้หญิงที่เคยมีโอกาสน้อยกว่าผู้ชายในหลายประเด็น
ประการที่ 13
ระบบงบประมาณสมัยใหม่เพื่อรองรับ Inclusive Growth ไม่ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเฉพาะกระบวนการดำเนินงานในแผนงานและโครงการ ตั้งแต่การออกแบบ ดำเนินงานและประเมินผลเท่านั้น หากแต่ยังมีความหมายถึงการปรับระบบอัตราภาษีและประมวลรัษฎากรใหม่ที่มุ่งสู่การให้ความเป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งการจัดเก็บในอัตราภาษีตายตัวไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด
หากการกำหนดระบบงบประมาณให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมอย่างแท้จริง รัฐบาลจะไม่มีความจำเป็นต้องลดวงเงินรายจ่ายตามงบประมาณ เพราะรัฐบาลจะมีรายรับจากภาษีเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง
การปรับอัตราภาษีในช่วงที่งานงบประมาณอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักการเมืองคงเป็นไปได้ยากเพราะกลุ่มการเมือง และภาคธุรกิจที่ให้การสนับสนุนนักการเมืองอาจจะไม่ยินยอมโดยง่าย เพราะระบบอัตราภาษีที่เป็นธรรมจะส่งผลทางลบต่อภาคธุรกิจ คนร่ำรวย เช่น ภาษีมรดก ภาษีทรัพย์สิน
ที่ผ่านมาระบบงบประมาณย่อมสะท้อนภาพและความเป็นจริงของพฤติกรรมของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับบริหารงบประมาณ ซึ่งหากอยู่ภายใต้การกำกับและรักษาผลประโยชน์ของตนเองของนักการเมือง ระบบงบประมาณย่อมไม่สามารถสะท้อนความรับผิดชอบต่อผลดำเนินงานของผู้ใช้งบประมาณได้